วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

อู่ฮั่น

หอกระเรียนเหลือง
ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://thai.cri.cn

หอหวงเห่อโหลว หรือ “หอนกกระเรียนเหลือง”
       สร้างเมื่อปี ค.ศ.223 ตั้งอยู่ริมแม่น้ำฉางเจียง ทางตะวันตกของเมืองอู่ชัง หอกระเรียนเหลืองในปัจจุบัน สร้างขึ้นด้วยปูนและเหล็กเลียนแบบโครงสร้างแบบไม้ที่เป็นของเดิม เป็นหอห้าชั้น สูง 51 เมตร ระหว่างชั้นยังมีชั้นแทรก รวมทั้งสิ้นเป็นสิบชั้น ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองอู่ฮั่น
        หอหวงเห่อโหลว หรือ “หอนกกระเรียนเหลือง” ในยุคสมัยสามก๊ก เชื่อกันว่าผู้สร้างคือซุนกวงซึ่งอยู่ในช่วงยังไม่ได้สถาปนาเป็นกษัตริย์แห่งง่อก๊ก เพื่อใช้เป็นหอสังเกตการณ์ดูข้าศึก จากนั้นก็มีการบูรณะซ่อมแซมความเสื่อมโทรมของหอเรื่อยมา มีการสร้างใหม่นับครั้งไม่ถ้วน ได้รับการบูรณะอย่างจริงจังถึง 4 ครั้ง ปัจจุบันเป็นหอที่สร้างใหม่ในลักษณะอาคารแบบดั้งเดิม เป็น 1 ใน 3 หอสวย ที่มีชื่อของจีน (หอเอี้ยหยาง มณฑลหูหนาน หอเถิงหวังเก๋อ มณฑลเจียงซี) จัดเป็นหอแสดงงานเขียนอักษรจีนและจิตรกรรม และยังเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ริมแม่น้ำแยงซีเกียงของชาวเมืองอีกด้วย
        ในปี 1957 เนื่องจากได้มีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแยงซีที่ผากระเรียนเหลือง ณ ที่ตั้งเดิมของหอกระเรียนเหลืองไปแล้ว ดังนั้น ในปี 1984 เมื่อรัฐบาลจีนใหม่ประจำอู่ฮั่น มีโครงการสร้างหอกระเรียนเหลืองขึ้นใหม่ เนื่องในโอกาสครบรอบร้อยปีที่หอกระเรียนเหลืองถูกเผาทำลายไป เมื่อครั้งสมัยจักรพรรดิกวงสูแห่งราชวงศ์ชิง จึงต้องย้ายหอกระเรียนเหลืองไปปลูกสร้างยังที่ตั้งใหม่บนยอดเขาเสอซัน
         หอกระเรียนเหลืองในปัจจุบัน สร้างขึ้นด้วยปูนและเหล็กเลียนแบบโครงสร้างแบบไม้ที่เป็นของเดิม เป็นหอห้าชั้น สูง 51 เมตร ระหว่างชั้นยังมีชั้นแทรก รวมทั้งสิ้นเป็นสิบชั้น ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองอู่ฮั่น

ผาแดง (ซื่อปี้) ตามรอยสามก๊ก

ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://www.abroad-tour.com
ตามรอยสามก๊กที่ ผาแดง หรือ ชื่อปี้
     ตั้งอยู่ห่างจากเมืองชื่อปี้ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 36 กิโลเมตร ริมฝั่งแม่น้ำแยงซีด้านใต้ ที่จริงแล้วชื่อเดิมคือเมือง “ผูฉี” อยู่ในมณฑลหูเป่ย เพิ่งได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น “ชื่อปี้” เมื่อปี ค.ศ.1998 ทั้งนี้ เพื่อต้องการให้เชื่อมโยงและสอดคล้องกับประวัติศาสตร์ในสงครามรบนั่นเอง จุดที่ทัพพันธมิตรของซุนกวนและเล่าปี่ผนึกกำลังเข้าสู้รบกับทัพของโจโฉซึ่งนักประวัติศาสตร์ลงความเห็นว่าเป็นบริเวณที่ตรงตามประวัติศาสตร์มากที่สุด สงครามครั้งนั้นทำให้หน้าผาแห่งนี้ปรากฏเป็นสีแดงเพลิง
     ปัจจุบันผาแดงแห่งนี้ กำลังพัฒนาให้ กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์มีสิ่งปลูกสร้างตามประวัติศาสตร์ เช่น แท่นเรียกลม ปัจจุบันตรงจุดนี้ถูกสร้างเป็นอาคารขึ้นมาโดยมีรูปปั้นของเล่าปี่ กวนอู เตียวฮุย และขงเบ้ง เป็นอนุสรณ์ , หอบัญชาการรบ , ฐานทัพของง่อก๊ก ส่วนอีกด้านหนึ่งกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างเมืองจำลองของเล่าปี่ เริ่มสร้างเมื่อปี 2007 และมีกำหนดเสร็จในเดือนตุลาคม 2009 บนยอดเขา จะมีรูปปั้นขนาดใหญ่ของจิวยี่หันหน้าไปทางแม่น้ำแยงซีเกียง

นานกิง

เจดีย์กระเบื้องเคลือบ
ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://abroad-tour.com

          ตั้งอยู่ที่วัดต้าเป้าเอินในเมืองนานกิงซึ่งเป็น เมืองเอกของมณฑลเจียงซู ทางภาคตะวันออกของจีน เป็นงานสถาปัตยกรรมที่ล้ำค่าแห่งหนึ่งของจีน เป็นสิ่งก่อสร้างเจดีย์รูปแปดเหลี่ยม สูง 9 ชั้น สูง 261 ฟุต หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว มีกระดิ่งแขวนไว้ 80 ลูก และโคมไฟประดับอีกหลายร้อยผูกแขวนไว้ตามชายคา เวลาลมพัดมีเสียงดังไพเราะมาก กล่าวกันว่าบนยอดเจดีย์มีลูกบอลทำด้วยทองติดอยู่มีเหล็กวงแหวนล้อมรอบถึง 9 วง มีไข่มุกขนาดใหญ่ 5 เม็ดอยู่ที่ปลายเป็นเครื่องรางบอกความมีโชคชัยของกรุงนานกิง เป็นความมหัศจรรย์ของเจดีย์ องค์เจดีย์ก่อด้วยอิฐ ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบทั้งหมด เดิมทีพุทธศาสนิกชนชาวจีนเป็นผู้สร้างไว้เพียง 3 ชั้น ต่อมาในสมัยของจักรพรรดิยุ่งโล้แห่งราชวงค์เหม็งประมาณ พ.ศ. 1973 ได้โปรดให้สร้างเพิ่มขึ้นไปอีกเป็น 9 ชั้น มีโซ่โยงลงมาจากชายคาตรงแนวที่เป็นเหลี่ยมขององค์เจดีย์ 8 เส้น โดยแขวนกระดิ่งตามสายโซ่รวม 72 ลูก ปัจจุบันองค์เจดีย์อยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก เนื่องจากเหตุการณ์เกิดกบฎไท้เผ็งได้ถูกเผาทำลายเมื่อ พ.ศ. 2392 นอกจากขนาดใหญ่โตสูงเสียดฟ้าแล้ว สิ่งที่สำคัญอยู่ที่วัสดุกระเบื้องเคลือบที่ใช้นั่นเอง ปัจจุบันอาจไม่งดงามเท่ากับสมัยก่อนแต่ยังตั้งตระหง่านและคงความวิจิตรเอาไว้ได้ตามสมควร

จงเตี้ยน

วัดซงซานหลิน (Songzanlin)

ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://www.zabzaa.com
         วัดซงซานหลินเป็นวัดใหญ่ที่สำคัญของเมืองจงเตี้ยน วัดแห่งนี้ห่างจากเมืองจงเตี้ยนไปทางเหนือประมาณ 5 กิโลเมตร  สร้างในสมัยทะไลลามะองค์ที่ 5 ในช่วงศตวรรษที่ 18 สมัยจักรพรรดิ์คังซี แห่งราชวงศ์ชิง และมีการสร้างในลักษณะจำลองแบบจากพระราชวังโปตาลา (Potala) ในกรุงลาซา (Lhasa) และนอกจากนี้ยังเป็นวัดนิกายลามะแบบธิเบตที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลยูนนานซึ่งมีอายุที่เก่าแก่กว่า 300ปี และในช่วงเทศกาล ชาวทิเบตส่วนใหญ่ ก็จะนิยมการเต้นระบำหน้ากากและเป่าแตรงอนซึ่งเป็นการละเล่นที่อยู่ในช่วงเทศกาล สำคัญต่างๆของวัด รวมถึงประเพณีต่างๆ ที่ชาวทิเบตได้อนุรักษ์ไว้ ณ วัดซงซานหลินแห่งนี้

เขตอนุรักษ์ธรรมชาติย่าดิง (Yading)

ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://www.zabzaa.com

         เขตอนุรักษ์ธรรมชาติย่าดิง เป็นที่เรียกขานกันว่า “หุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน” ของเมืองจงเตี้ยน ตั้งอยู่ใกล้กับแชงกรีลา เป็นหุบเขาสูงเกิน 4,000 เมตร มีหิมะปกคลุมเกือบทั้งปี
ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://www.zabzaa.com

         หุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงินเป็นหุบเข้าที่มีตวามสวยงาม ล้อมรอบด้วย ทะเลหุบเขาถึง 360 องศา และบริเวณไกลออกไปจะมี ป่าไม้ที่มีใบไม้เปลี่ยนสี ผืนหญ้าดารดาษไปด้วยดอกไม้ป่าสดสวย ลำธารใสไหลเย็น ภูเขาหิมะที่ขาวโพลน ต้นกุหลาบพันปีเรียงราย และธารน้ำแข็งบนโตรกผาแม่น้ำแยงซีที่มีความสูงมากจากระดับน้ำทะเลนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางขึ้นสู่ยอดสูงสุดของหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงินโดยขึ้นกระเช้าไป 2 ช่วงโดยจุดเปลี่ยนกระเช้าจุดแรก จะมีศูนย์ท่องเที่ยวหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน พอมาถึงจุดปลี่ยนกระเช้าจุดที่ 2 ก็จะมีหมู่บ้านชาวธิเบตที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ โดยรอบ
ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://www.zabzaa.com

         หุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน สามารถเดินทางขึ้นไปชมหิมะได้ในฤดูหนาวจนถึงต้นเดือน พฤษภาคม หลังจากนั้นหิมะจะเริ่มละลาย จากนั้นต้นกุหลาบพันปี ซึ่งบานเพียงปีละครั้ง จะเริ่มผลิดอกในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

กุ้ยหลิน

กุ้ยหลิน (Guilin)

ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://www.baanjomyut.com
 กุ้ยหลิน (Guilin) เป็นหนึ่งในเมืองเอกของมณฑลกว่างซี มณฑลทางภาคใต้ของประเทศจีน ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 240,000 ตารางกิโลเมตร ทางทิศใต้ติดกับมณฑลหยุนหนัน ทางเหนือติดกับกุ้ยโจว ทางตะวันออกเฉียงเหนือติดกับหูหนัน ทางตะวันออกเฉียงใต้ติดกับกว่างตง ทางใต้ติดกับอ่าวตังเกี๋ย และทางตะวันตกเฉียงใต้ติดกับประเทศเวียดนาม ลักษณะพื้นที่เป็นที่ราบแอ่งกระทะ และเทือกเขาขนาดเล็กที่ยาวคดเคี้ยวติดต่อกัน เทือกเขาสำคัญ ได้แก่ ภูเขาต้าหมิงซันและต้าเหยาซัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นเขตหินปูนขาวที่ครอบคลุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของประเทศ ด้วยเหตุนี้เองจึงมีถ้ำหินปูนอยู่มากมาย สภาพอากาศเป็นแบบเขตร้อน โดยทางเหนือเป็นเขตร้อนแถบเอเชียกลาง ทางใต้เป็นเขตร้อนแถบเอเชียใต้ อุณหภูมิเฉลี่ย 16-23 องศาเซลเซียส มีฝนตกชุก ฤดูร้อนยาวนานกว่าฤดูหนาว อุณหภูมิสูงสุดในเดือนกรกฎาคม ประมาณ 27-29 องศาเซลเซียส และต่ำสุดในเดือนมกราคมประมาณ 5.5-15.2 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,000-2,800 มิลลิเมตรต่อปี
แม่น้ำหลีเจียง ( Li River)
ขอขอบคุณรูปจาก http://thai.cri.cn
หลีเจียง มีต้นน้ำมาจากเขาลูกแมวหรือที่ชาวจีนเรียกว่า “ มาวเอ๋อ ” ในเขตอำเภอซิงอ่านเมืองไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลกวางสี ไหลลดเลี้ยวหลบหลีกขุนเขา ผ่านเมืองกุ้ยหลินถึงอำเภอหยางซั่วรวมความยาว 431 กิโลเมตร โดยมีชื่อใหม่ ช่วงต่อจากนั้นว่า กุ้ยเจียง ไหลเข้าสู่ชายแดนที่อำเภออู๋โจวเข้าสู่ทิศตะวันตก ของมณฑลกวางตุ้งที่เมืองเฟิงคาย มีชื่อใหม่ในกวางตุ้งว่า แม่น้ำตะวันตกหรือซีเจียง ไฮไลต์ของการมาเที่ยวที่กุ้ยหลินนี้อยู่ที่การล่องแม่น้ำหลีเจียง ที่มีความยาวกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อชมทิวทัศน์ที่สุดงดงามของภูเขาหิน ทั้งนี้โดยปกติแล้วการล่องแม่น้ำหลีเจียงเพื่อการท่องเที่ยวจะทำกันในระยะเวลา 60 กิโลเมตรโดยใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น ด้วยเรือ 3 ชั้น ที่สองชั้นล่างจะทำเป็นโต๊ะอาหาร ขณะที่ดาดฟ้าจะเปิดโล่งให้นักท่องเที่ยวชมทิวทัศน์กันได้อย่างอิสระ ในราคาประมาณ 270 หยวน ( ราวพันกว่าบาท ) จุดหมายของการล่องเรือจะอยู่ที่เมืองหยางซั่ว (Yang-Shou)

หยางซั่ว (Yangshuo)
ตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองกุ้ยหลิน ห่างไปประมาณ 65 กิโลเมตร เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีทิวทัศน์สวยงาม จนมีคำกว่าวว่า “ หากกุ้ยหลินเป็นเมืองที่สวยที่สุดในจีน หยางซั่วก็เป็นที่ที่สวยที่สุดในกุ้ยหลิน ” การเดินทางไปเมืองหยางซั่ว ทำได้ทั้งการล่องแม่น้ำหลีเจียง หรือโดยรถยนต์ หยางซั่ว เจริญเติบโตเพราะการท่องเที่ยว ทั้งหมู่บ้านแทบไม่มีสถานที่น่าสนใจ นอกจากร้านขายของ ร้านอาหาร และโรงแรม แต่รอบๆบริเวณเมืองหยางซั่ว มีสถานที่น่าเที่ยวชมหลายแห่ง นับว่าเป็นสวรรค์บนดิน ที่มีชื่อเสียง จนนักท่องเที่ยวมากุ้ยหลินแล้วต้องแวะ มาที่ หยางซั่ว ด้วย เนื่องจากการเดินทางโดย รถยนต์ที่ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที หรืออาจจะนั่งเรือชมทัศนียภาพของหลีเจียง แล้วมาพักแรมที่หยางซั่ว ที่นี่จะสงบเงียบ เหมือนชนบท แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวก อย่างพรั่งพร้อมแก่ นักท่องเที่ยว ในราคาถูก ซึ่งจะมีย่านซึ่งประกอบไปด้วย ที่พักราคาถูก มีวิดีโอหนังฮอลลีวู้ดฉาย พร้อมร้านอาหารคาเฟ่ สไตล์ตะวันตก มีขนมแพนเค็ก พร้อมกาแฟ เพียงแต่ลูกค้ามีแต่ชาวต่างชาติเท่านั้นโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวแบบเป้ใบเดียว หรือเรียกว่า backpacker ชอบนักแล ทั้งยังสามารถเช่าจักรยาน ขี่เที่ยวเล่นชมแหล่ง ท่องเที่ยว อื่นๆ ข้างเคียง กิจกรรมที่พลาดไม่ได้ประการหนึ่งคือ การนั่งเรือท่องแม่น้ำหลีเจียง เส้นทางเรือจากกุ้ยหลินถึงเมือง หย่างซั่ว เป็นระยะทางประมาณ 40 ไมล์ ( 60 กิโลเมตร ) ตลอดทางคดเคี้ยวของแม่น้ำหลี่ คือ ภูเขาน้อยใหญ่ที่มีรูปร่างแปลกตา กระตุ้นจินตนาการของผู้คนดังเห็นได้จากชื่อ เขางวงช้าง เขาตาเฒ่า เขาเจดีย์ และเขารู ภาพชาวประมง นกกาน้ำ และเพื่อนร่วมงานในแพไม้ไผ่แคบๆ

สนใจทัวร์กุ้ยหลิน ดูรายละเอียดได้ที่
http://www.doubleenjoy.com/ทัวร์เที่ยวจีน/ทัวร์กุ้ยหลิน-หยางซั่ว-หลงเซิ่น.aspx

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

ไหหลำ

ไหหลำ

ซันย่าเป็นเมืองที่อยู่ใต้สุดของจีนและเป็นเมืองริมทะเลแห่งเดียวที่ตั้งอยู่ในเขตโซนร้อนของจีน และเป็นเมืองท่าสำคัญในการท่องเที่ยว เกาะไหหลำ เหมือนพัทยา หัวหินของไทย นอกจากนี้ยังเคยเป็นสถานที่จัดประกวด Miss World มาแล้ว รวมทั้งทางการจีนได้ก่อสร้างสถานที่จัดประชุมผู้นำเศรษฐกิจ CEO Forum อย่างถาวรไว้ที่นี่ ซึ่งจะมีการประชุมทุกปีอีกด้วย เมืองซันย่า มีหาดทรายขาวสะอาดงดงาม อาทิ หาดต้าตงไห่ หาดยี่หัวหยวน หาดย่าหลง และยังเพียบพร้อมไปด้วยอากาศอันบริสุทธิ์ อาหารทะเลเลิศรส เมืองซันย่ามีแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่ง เช่น ไปฟังเสียงระฆังวัดที่ หนันซัน ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ใต้สุดของจีน ไปชมวิวที่สวยงามสุดขอบฟ้า ไปดำน้ำในทะเลจีนใต้ เลือกซื้อศิลปหัตถกรรมของชาวชนชาติหลีซึ่งเป็นชาวท้องถิ่นดั้งเดิมของไหหลำ ยามพลบค่ำ บาร์เบียร์ริมทะเลเริ่มคึกคักดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งหลายให้ออกมานั่งเล่น ชาวซันย่าส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามเพราะว่าเมื่อประมาณ 700 ปีก่อน มีพ่อค้าชาวอาหรับทำเรืออับปางบริเวณนี้ จึงต้องสร้างหลักปักฐานอยู่ที่นี่ จนกลายเป็นบรรพบุรุษของชาวเมืองซันย่า



เป็นสวนพุทธธรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน มาถึงวัดหนานซันแล้วจะต้องมารสักการะเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งมีความสูงถึง 108 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเล ชาวไหหลำเชื่อกันว่า หลังจากได้มีการริเริ่มสร้างเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้ทำให้เกาะไหหลำรอดพ้นจากพายุขนาดใหญ่มานับแต่นั้น ในแต่ละปีบรรดาพุทธศาสนิกชนจะหลั่งไหลกันเข้ามามาสักการะเจ้าแม่กวนอิม เพื่อชำระจิตใจให้สะอาดผ่องใส่ เป็นศิริมงคลแก่ตัวเอง และเพื่อความสบายใจ