วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

อู่ฮั่น

หอกระเรียนเหลือง
ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://thai.cri.cn

หอหวงเห่อโหลว หรือ “หอนกกระเรียนเหลือง”
       สร้างเมื่อปี ค.ศ.223 ตั้งอยู่ริมแม่น้ำฉางเจียง ทางตะวันตกของเมืองอู่ชัง หอกระเรียนเหลืองในปัจจุบัน สร้างขึ้นด้วยปูนและเหล็กเลียนแบบโครงสร้างแบบไม้ที่เป็นของเดิม เป็นหอห้าชั้น สูง 51 เมตร ระหว่างชั้นยังมีชั้นแทรก รวมทั้งสิ้นเป็นสิบชั้น ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองอู่ฮั่น
        หอหวงเห่อโหลว หรือ “หอนกกระเรียนเหลือง” ในยุคสมัยสามก๊ก เชื่อกันว่าผู้สร้างคือซุนกวงซึ่งอยู่ในช่วงยังไม่ได้สถาปนาเป็นกษัตริย์แห่งง่อก๊ก เพื่อใช้เป็นหอสังเกตการณ์ดูข้าศึก จากนั้นก็มีการบูรณะซ่อมแซมความเสื่อมโทรมของหอเรื่อยมา มีการสร้างใหม่นับครั้งไม่ถ้วน ได้รับการบูรณะอย่างจริงจังถึง 4 ครั้ง ปัจจุบันเป็นหอที่สร้างใหม่ในลักษณะอาคารแบบดั้งเดิม เป็น 1 ใน 3 หอสวย ที่มีชื่อของจีน (หอเอี้ยหยาง มณฑลหูหนาน หอเถิงหวังเก๋อ มณฑลเจียงซี) จัดเป็นหอแสดงงานเขียนอักษรจีนและจิตรกรรม และยังเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ริมแม่น้ำแยงซีเกียงของชาวเมืองอีกด้วย
        ในปี 1957 เนื่องจากได้มีการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแยงซีที่ผากระเรียนเหลือง ณ ที่ตั้งเดิมของหอกระเรียนเหลืองไปแล้ว ดังนั้น ในปี 1984 เมื่อรัฐบาลจีนใหม่ประจำอู่ฮั่น มีโครงการสร้างหอกระเรียนเหลืองขึ้นใหม่ เนื่องในโอกาสครบรอบร้อยปีที่หอกระเรียนเหลืองถูกเผาทำลายไป เมื่อครั้งสมัยจักรพรรดิกวงสูแห่งราชวงศ์ชิง จึงต้องย้ายหอกระเรียนเหลืองไปปลูกสร้างยังที่ตั้งใหม่บนยอดเขาเสอซัน
         หอกระเรียนเหลืองในปัจจุบัน สร้างขึ้นด้วยปูนและเหล็กเลียนแบบโครงสร้างแบบไม้ที่เป็นของเดิม เป็นหอห้าชั้น สูง 51 เมตร ระหว่างชั้นยังมีชั้นแทรก รวมทั้งสิ้นเป็นสิบชั้น ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำเมืองอู่ฮั่น

ผาแดง (ซื่อปี้) ตามรอยสามก๊ก

ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://www.abroad-tour.com
ตามรอยสามก๊กที่ ผาแดง หรือ ชื่อปี้
     ตั้งอยู่ห่างจากเมืองชื่อปี้ไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 36 กิโลเมตร ริมฝั่งแม่น้ำแยงซีด้านใต้ ที่จริงแล้วชื่อเดิมคือเมือง “ผูฉี” อยู่ในมณฑลหูเป่ย เพิ่งได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็น “ชื่อปี้” เมื่อปี ค.ศ.1998 ทั้งนี้ เพื่อต้องการให้เชื่อมโยงและสอดคล้องกับประวัติศาสตร์ในสงครามรบนั่นเอง จุดที่ทัพพันธมิตรของซุนกวนและเล่าปี่ผนึกกำลังเข้าสู้รบกับทัพของโจโฉซึ่งนักประวัติศาสตร์ลงความเห็นว่าเป็นบริเวณที่ตรงตามประวัติศาสตร์มากที่สุด สงครามครั้งนั้นทำให้หน้าผาแห่งนี้ปรากฏเป็นสีแดงเพลิง
     ปัจจุบันผาแดงแห่งนี้ กำลังพัฒนาให้ กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์มีสิ่งปลูกสร้างตามประวัติศาสตร์ เช่น แท่นเรียกลม ปัจจุบันตรงจุดนี้ถูกสร้างเป็นอาคารขึ้นมาโดยมีรูปปั้นของเล่าปี่ กวนอู เตียวฮุย และขงเบ้ง เป็นอนุสรณ์ , หอบัญชาการรบ , ฐานทัพของง่อก๊ก ส่วนอีกด้านหนึ่งกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างเมืองจำลองของเล่าปี่ เริ่มสร้างเมื่อปี 2007 และมีกำหนดเสร็จในเดือนตุลาคม 2009 บนยอดเขา จะมีรูปปั้นขนาดใหญ่ของจิวยี่หันหน้าไปทางแม่น้ำแยงซีเกียง

นานกิง

เจดีย์กระเบื้องเคลือบ
ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://abroad-tour.com

          ตั้งอยู่ที่วัดต้าเป้าเอินในเมืองนานกิงซึ่งเป็น เมืองเอกของมณฑลเจียงซู ทางภาคตะวันออกของจีน เป็นงานสถาปัตยกรรมที่ล้ำค่าแห่งหนึ่งของจีน เป็นสิ่งก่อสร้างเจดีย์รูปแปดเหลี่ยม สูง 9 ชั้น สูง 261 ฟุต หลังคามุงด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียว มีกระดิ่งแขวนไว้ 80 ลูก และโคมไฟประดับอีกหลายร้อยผูกแขวนไว้ตามชายคา เวลาลมพัดมีเสียงดังไพเราะมาก กล่าวกันว่าบนยอดเจดีย์มีลูกบอลทำด้วยทองติดอยู่มีเหล็กวงแหวนล้อมรอบถึง 9 วง มีไข่มุกขนาดใหญ่ 5 เม็ดอยู่ที่ปลายเป็นเครื่องรางบอกความมีโชคชัยของกรุงนานกิง เป็นความมหัศจรรย์ของเจดีย์ องค์เจดีย์ก่อด้วยอิฐ ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบทั้งหมด เดิมทีพุทธศาสนิกชนชาวจีนเป็นผู้สร้างไว้เพียง 3 ชั้น ต่อมาในสมัยของจักรพรรดิยุ่งโล้แห่งราชวงค์เหม็งประมาณ พ.ศ. 1973 ได้โปรดให้สร้างเพิ่มขึ้นไปอีกเป็น 9 ชั้น มีโซ่โยงลงมาจากชายคาตรงแนวที่เป็นเหลี่ยมขององค์เจดีย์ 8 เส้น โดยแขวนกระดิ่งตามสายโซ่รวม 72 ลูก ปัจจุบันองค์เจดีย์อยู่ในสภาพทรุดโทรมมาก เนื่องจากเหตุการณ์เกิดกบฎไท้เผ็งได้ถูกเผาทำลายเมื่อ พ.ศ. 2392 นอกจากขนาดใหญ่โตสูงเสียดฟ้าแล้ว สิ่งที่สำคัญอยู่ที่วัสดุกระเบื้องเคลือบที่ใช้นั่นเอง ปัจจุบันอาจไม่งดงามเท่ากับสมัยก่อนแต่ยังตั้งตระหง่านและคงความวิจิตรเอาไว้ได้ตามสมควร

จงเตี้ยน

วัดซงซานหลิน (Songzanlin)

ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://www.zabzaa.com
         วัดซงซานหลินเป็นวัดใหญ่ที่สำคัญของเมืองจงเตี้ยน วัดแห่งนี้ห่างจากเมืองจงเตี้ยนไปทางเหนือประมาณ 5 กิโลเมตร  สร้างในสมัยทะไลลามะองค์ที่ 5 ในช่วงศตวรรษที่ 18 สมัยจักรพรรดิ์คังซี แห่งราชวงศ์ชิง และมีการสร้างในลักษณะจำลองแบบจากพระราชวังโปตาลา (Potala) ในกรุงลาซา (Lhasa) และนอกจากนี้ยังเป็นวัดนิกายลามะแบบธิเบตที่ใหญ่ที่สุดในมณฑลยูนนานซึ่งมีอายุที่เก่าแก่กว่า 300ปี และในช่วงเทศกาล ชาวทิเบตส่วนใหญ่ ก็จะนิยมการเต้นระบำหน้ากากและเป่าแตรงอนซึ่งเป็นการละเล่นที่อยู่ในช่วงเทศกาล สำคัญต่างๆของวัด รวมถึงประเพณีต่างๆ ที่ชาวทิเบตได้อนุรักษ์ไว้ ณ วัดซงซานหลินแห่งนี้

เขตอนุรักษ์ธรรมชาติย่าดิง (Yading)

ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://www.zabzaa.com

         เขตอนุรักษ์ธรรมชาติย่าดิง เป็นที่เรียกขานกันว่า “หุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน” ของเมืองจงเตี้ยน ตั้งอยู่ใกล้กับแชงกรีลา เป็นหุบเขาสูงเกิน 4,000 เมตร มีหิมะปกคลุมเกือบทั้งปี
ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://www.zabzaa.com

         หุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงินเป็นหุบเข้าที่มีตวามสวยงาม ล้อมรอบด้วย ทะเลหุบเขาถึง 360 องศา และบริเวณไกลออกไปจะมี ป่าไม้ที่มีใบไม้เปลี่ยนสี ผืนหญ้าดารดาษไปด้วยดอกไม้ป่าสดสวย ลำธารใสไหลเย็น ภูเขาหิมะที่ขาวโพลน ต้นกุหลาบพันปีเรียงราย และธารน้ำแข็งบนโตรกผาแม่น้ำแยงซีที่มีความสูงมากจากระดับน้ำทะเลนักท่องเที่ยวสามารถเดินทางขึ้นสู่ยอดสูงสุดของหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงินโดยขึ้นกระเช้าไป 2 ช่วงโดยจุดเปลี่ยนกระเช้าจุดแรก จะมีศูนย์ท่องเที่ยวหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน พอมาถึงจุดปลี่ยนกระเช้าจุดที่ 2 ก็จะมีหมู่บ้านชาวธิเบตที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ โดยรอบ
ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://www.zabzaa.com

         หุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน สามารถเดินทางขึ้นไปชมหิมะได้ในฤดูหนาวจนถึงต้นเดือน พฤษภาคม หลังจากนั้นหิมะจะเริ่มละลาย จากนั้นต้นกุหลาบพันปี ซึ่งบานเพียงปีละครั้ง จะเริ่มผลิดอกในช่วงกลางเดือนพฤษภาคม

วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555

กุ้ยหลิน

กุ้ยหลิน (Guilin)

ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://www.baanjomyut.com
 กุ้ยหลิน (Guilin) เป็นหนึ่งในเมืองเอกของมณฑลกว่างซี มณฑลทางภาคใต้ของประเทศจีน ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 240,000 ตารางกิโลเมตร ทางทิศใต้ติดกับมณฑลหยุนหนัน ทางเหนือติดกับกุ้ยโจว ทางตะวันออกเฉียงเหนือติดกับหูหนัน ทางตะวันออกเฉียงใต้ติดกับกว่างตง ทางใต้ติดกับอ่าวตังเกี๋ย และทางตะวันตกเฉียงใต้ติดกับประเทศเวียดนาม ลักษณะพื้นที่เป็นที่ราบแอ่งกระทะ และเทือกเขาขนาดเล็กที่ยาวคดเคี้ยวติดต่อกัน เทือกเขาสำคัญ ได้แก่ ภูเขาต้าหมิงซันและต้าเหยาซัน เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นเขตหินปูนขาวที่ครอบคลุมพื้นที่ครึ่งหนึ่งของประเทศ ด้วยเหตุนี้เองจึงมีถ้ำหินปูนอยู่มากมาย สภาพอากาศเป็นแบบเขตร้อน โดยทางเหนือเป็นเขตร้อนแถบเอเชียกลาง ทางใต้เป็นเขตร้อนแถบเอเชียใต้ อุณหภูมิเฉลี่ย 16-23 องศาเซลเซียส มีฝนตกชุก ฤดูร้อนยาวนานกว่าฤดูหนาว อุณหภูมิสูงสุดในเดือนกรกฎาคม ประมาณ 27-29 องศาเซลเซียส และต่ำสุดในเดือนมกราคมประมาณ 5.5-15.2 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ย 1,000-2,800 มิลลิเมตรต่อปี
แม่น้ำหลีเจียง ( Li River)
ขอขอบคุณรูปจาก http://thai.cri.cn
หลีเจียง มีต้นน้ำมาจากเขาลูกแมวหรือที่ชาวจีนเรียกว่า “ มาวเอ๋อ ” ในเขตอำเภอซิงอ่านเมืองไปทางตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลกวางสี ไหลลดเลี้ยวหลบหลีกขุนเขา ผ่านเมืองกุ้ยหลินถึงอำเภอหยางซั่วรวมความยาว 431 กิโลเมตร โดยมีชื่อใหม่ ช่วงต่อจากนั้นว่า กุ้ยเจียง ไหลเข้าสู่ชายแดนที่อำเภออู๋โจวเข้าสู่ทิศตะวันตก ของมณฑลกวางตุ้งที่เมืองเฟิงคาย มีชื่อใหม่ในกวางตุ้งว่า แม่น้ำตะวันตกหรือซีเจียง ไฮไลต์ของการมาเที่ยวที่กุ้ยหลินนี้อยู่ที่การล่องแม่น้ำหลีเจียง ที่มีความยาวกว่า 400 กิโลเมตร เพื่อชมทิวทัศน์ที่สุดงดงามของภูเขาหิน ทั้งนี้โดยปกติแล้วการล่องแม่น้ำหลีเจียงเพื่อการท่องเที่ยวจะทำกันในระยะเวลา 60 กิโลเมตรโดยใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงเท่านั้น ด้วยเรือ 3 ชั้น ที่สองชั้นล่างจะทำเป็นโต๊ะอาหาร ขณะที่ดาดฟ้าจะเปิดโล่งให้นักท่องเที่ยวชมทิวทัศน์กันได้อย่างอิสระ ในราคาประมาณ 270 หยวน ( ราวพันกว่าบาท ) จุดหมายของการล่องเรือจะอยู่ที่เมืองหยางซั่ว (Yang-Shou)

หยางซั่ว (Yangshuo)
ตั้งอยู่ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองกุ้ยหลิน ห่างไปประมาณ 65 กิโลเมตร เป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีทิวทัศน์สวยงาม จนมีคำกว่าวว่า “ หากกุ้ยหลินเป็นเมืองที่สวยที่สุดในจีน หยางซั่วก็เป็นที่ที่สวยที่สุดในกุ้ยหลิน ” การเดินทางไปเมืองหยางซั่ว ทำได้ทั้งการล่องแม่น้ำหลีเจียง หรือโดยรถยนต์ หยางซั่ว เจริญเติบโตเพราะการท่องเที่ยว ทั้งหมู่บ้านแทบไม่มีสถานที่น่าสนใจ นอกจากร้านขายของ ร้านอาหาร และโรงแรม แต่รอบๆบริเวณเมืองหยางซั่ว มีสถานที่น่าเที่ยวชมหลายแห่ง นับว่าเป็นสวรรค์บนดิน ที่มีชื่อเสียง จนนักท่องเที่ยวมากุ้ยหลินแล้วต้องแวะ มาที่ หยางซั่ว ด้วย เนื่องจากการเดินทางโดย รถยนต์ที่ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาที หรืออาจจะนั่งเรือชมทัศนียภาพของหลีเจียง แล้วมาพักแรมที่หยางซั่ว ที่นี่จะสงบเงียบ เหมือนชนบท แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวก อย่างพรั่งพร้อมแก่ นักท่องเที่ยว ในราคาถูก ซึ่งจะมีย่านซึ่งประกอบไปด้วย ที่พักราคาถูก มีวิดีโอหนังฮอลลีวู้ดฉาย พร้อมร้านอาหารคาเฟ่ สไตล์ตะวันตก มีขนมแพนเค็ก พร้อมกาแฟ เพียงแต่ลูกค้ามีแต่ชาวต่างชาติเท่านั้นโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวแบบเป้ใบเดียว หรือเรียกว่า backpacker ชอบนักแล ทั้งยังสามารถเช่าจักรยาน ขี่เที่ยวเล่นชมแหล่ง ท่องเที่ยว อื่นๆ ข้างเคียง กิจกรรมที่พลาดไม่ได้ประการหนึ่งคือ การนั่งเรือท่องแม่น้ำหลีเจียง เส้นทางเรือจากกุ้ยหลินถึงเมือง หย่างซั่ว เป็นระยะทางประมาณ 40 ไมล์ ( 60 กิโลเมตร ) ตลอดทางคดเคี้ยวของแม่น้ำหลี่ คือ ภูเขาน้อยใหญ่ที่มีรูปร่างแปลกตา กระตุ้นจินตนาการของผู้คนดังเห็นได้จากชื่อ เขางวงช้าง เขาตาเฒ่า เขาเจดีย์ และเขารู ภาพชาวประมง นกกาน้ำ และเพื่อนร่วมงานในแพไม้ไผ่แคบๆ

สนใจทัวร์กุ้ยหลิน ดูรายละเอียดได้ที่
http://www.doubleenjoy.com/ทัวร์เที่ยวจีน/ทัวร์กุ้ยหลิน-หยางซั่ว-หลงเซิ่น.aspx

วันพฤหัสบดีที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2555

ไหหลำ

ไหหลำ

ซันย่าเป็นเมืองที่อยู่ใต้สุดของจีนและเป็นเมืองริมทะเลแห่งเดียวที่ตั้งอยู่ในเขตโซนร้อนของจีน และเป็นเมืองท่าสำคัญในการท่องเที่ยว เกาะไหหลำ เหมือนพัทยา หัวหินของไทย นอกจากนี้ยังเคยเป็นสถานที่จัดประกวด Miss World มาแล้ว รวมทั้งทางการจีนได้ก่อสร้างสถานที่จัดประชุมผู้นำเศรษฐกิจ CEO Forum อย่างถาวรไว้ที่นี่ ซึ่งจะมีการประชุมทุกปีอีกด้วย เมืองซันย่า มีหาดทรายขาวสะอาดงดงาม อาทิ หาดต้าตงไห่ หาดยี่หัวหยวน หาดย่าหลง และยังเพียบพร้อมไปด้วยอากาศอันบริสุทธิ์ อาหารทะเลเลิศรส เมืองซันย่ามีแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่ง เช่น ไปฟังเสียงระฆังวัดที่ หนันซัน ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ใต้สุดของจีน ไปชมวิวที่สวยงามสุดขอบฟ้า ไปดำน้ำในทะเลจีนใต้ เลือกซื้อศิลปหัตถกรรมของชาวชนชาติหลีซึ่งเป็นชาวท้องถิ่นดั้งเดิมของไหหลำ ยามพลบค่ำ บาร์เบียร์ริมทะเลเริ่มคึกคักดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งหลายให้ออกมานั่งเล่น ชาวซันย่าส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามเพราะว่าเมื่อประมาณ 700 ปีก่อน มีพ่อค้าชาวอาหรับทำเรืออับปางบริเวณนี้ จึงต้องสร้างหลักปักฐานอยู่ที่นี่ จนกลายเป็นบรรพบุรุษของชาวเมืองซันย่า



เป็นสวนพุทธธรรมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีน มาถึงวัดหนานซันแล้วจะต้องมารสักการะเจ้าแม่กวนอิม ซึ่งมีความสูงถึง 108 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเล ชาวไหหลำเชื่อกันว่า หลังจากได้มีการริเริ่มสร้างเจ้าแม่กวนอิมองค์นี้ทำให้เกาะไหหลำรอดพ้นจากพายุขนาดใหญ่มานับแต่นั้น ในแต่ละปีบรรดาพุทธศาสนิกชนจะหลั่งไหลกันเข้ามามาสักการะเจ้าแม่กวนอิม เพื่อชำระจิตใจให้สะอาดผ่องใส่ เป็นศิริมงคลแก่ตัวเอง และเพื่อความสบายใจ


วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ต้าลี่

เจดีย์ 3 องค์ วัดฉงเซิ่ง
ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://abroad-tour.com
         เจดีย์ 3 องค์  ซึ่งตั้งอยู่ใน  วัดฉงเซิ่ง  อยู่ห่างจากเมืองโบราณต้าหลี่ไปทางทิศเหนือประมาณ 1 กิโลเมตรบริเวณด้านหลังของเจดีย์แห่งนี้เป็นภูเขาชังซานซึ่งมีความสูงสง่างาม และด้านหน้าเป็นทะเลสาบเอ๋อไห่ที่สวยงามกว้างใหญ่ สถานที่แห่งนี้เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของเมืองต้าลี่เป็นวัดที่สร้างในสมัยราชวงค์ถังของจีนในสมัยที่พุทธมหายานเจริญรุ่งเรือง  โดยสร้างเจดีย์องค์หลักมีชื่อว่าเจดีย์  "เชียนหลินถ่า" สูงประมาณ 70  เมตร มี 16 ชั้นเป็นเจดีย์ที่สร้าง   องค์แรกพร้อมๆกับการสร้างวัด และวิหารองค์กลางอันเป็น ที่ตั้งประดิษฐานองค์พระสังกระจายอันเป็นพระพุทธรูปที่แสดงถึงความมั่งคั่งของอาณาจักรต้าหลี่ แสดงถึงความร่ำรวยของพลเมือง และความสงบสุขของชาวเมือง

เมืองโบราณต้าหลี่

ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://abroad-tour.com
       เมืองโบราณต้าหลี่ สร้างขึ้นมากว่า 1000 ปีก่อน ถึงแม้ได้ผ่านกาลเวลามาช้านาน แต่เมืองโบราณแห่งนี้ก็ยังคงอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์อย่างมาก นักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวจะเห็นประตูเมืองทั้งด้านใต้และด้านเหนือซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่คล้ายคลึงกันตามสองฟากของถนนสายเก่าแก่จะมีบ้านเรือนโบราณปลูกสร้างไว้อย่างกระจัดกระจาย มีถนนสายเก่าแก่ตัดผ่านตัวเมืองโบราณแห่งนี้
          ซึ่งในปัจจุบัน  ได้กลายเป็นถนนย่านการค้าที่มีตวามเจริญเป็นอย่างมาก ตามสองข้างถนนเต็มไปด้วยร้านค้าต่างๆ ซึ่งจะทั้งพ่อค้าชนชาติไป๋ที่แต่งกายประจำชาติ มาขายสินค้าพื้นเมืองต่างๆ เช่น หินอ่อนต้าหลี่ ผ้าพื้นเมืองและเครื่องเงิน  เป็นต้น  ภายในเมืองโบราณแห่งนี้ยังมีถนนเล็กๆสายหนึ่งจากทาง  ทิศตะวันออกไปสู่ทางทิศตะวันตก สองฟากของถนนสายนี้ มักจะเต็มไปด้วย ภัตตาคาร อาหารจีน และอาหารตะวันตก นอกจากนี้ยังมีร้านกาแฟและร้านน้ำชาที่มีเจ้าของเป็นชาวต่างชาติ อาศัยอยู่ ถนนสายนี้จึงขึ้นชื่อว่า "ถนนสายต่างชาติ" ถนนสายนี้มีกลิ่นอายของความเก่าแก่และ มีความความทันสมัยผสมผสานกัน จึงทำให้สามารถดึงดูดชาวต่างประเทศจำนวนมากให้หลั่งใหลกันไปท่องเที่ยวตามถนนสายนี้ อย่างไม่ขาดสาย นับเป็นทัศนียภาพที่สวยงาม แห่งหนึ่งของสถานที่ท่องเที่ยวแห่งนี้

ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://abroad-tour.com

วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ลี่เจียง

ภูเขาหิมะมังกรหยก
ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://abroad-tour.com
ภูเขาหิมะมังกรหยก หรือ อวี้หลงเซี่ยซาน
       เป็นภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของชนเผ่าต่างๆ ในลี่เจียง ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองเก่าลี่เจียง เป็นภูเขาสูงที่ตั้งตระหง่าน ซึ่งมีหิมะปกคลุมอยู่ตลอดทั้งปี มีทั้งหมด 12 ยอด ยอดที่สูงที่สุดของเทือกเขานี้สูงจากระดับน้ำทะเล 5,596 เมตร ยอดสูงที่สุดชื่อ ซานจือโต่ว ทิวเขาแห่งนี้ประกอบไปด้วยสภาพแวดล้อมต่างๆ ทั้งหุบห้วย ธารน้ำ แนวผา และทุ่งหญ้าน่าซี ทิวเขาแห่งนี้เมื่อมองจากระยะไกล จะเห็นเป็นลักษณะคล้ายมังกรกำลังเลื้อย สีขาวของหิมะที่ปกคลุมอยู่นั้นดูราวกับหยกขาว ที่ตัดกับสีน้ำเงินของท้องฟ้า คล้ายมังกรขาวบนฟากฟ้า ทิวเขาแห่งนี้จึงได้ชื่อว่า ภูเขาหิมะมังกรหยก JADE DRAGON SNOW MOUNTAIN นับว่าเป็นชื่อที่เหมาะสมกับเทืองเขานี้มาก นักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวก็ไม่ลืมที่จะบันทึกภาพกลับมาเพื่อเป็นที่ระลึก
       นักท่องเที่ยวสามารถนั่งกระเช้าไฟฟ้า ขึ้นสู่จุดชมวิวบนยอดเขาที่ความสูงกว่า 3,356 เมตร และสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 4,506 เมตร เพื่อชมวิวทิวทัศน์และธรรมชาติบนจุดที่สวยงามที่สุด ตลอดสองข้างทางที่ขึ้นยอดเขา ชื่นชมและดื่มด่ำกับความหนาวเย็นของธรรมชาติ อีกทั้งภูเขาหิมะมังกรหยกแห่งนี้ ยังเป็นที่มาของตำนาน ชนเผ่าน่าซี ที่อาศัยอยู่ในเขตที่ราบแถบนี้มานานนับพันปี ทิวเขาแห่งนี้มีพัมธุ์พืชปกคลุมอย่างหนาแน่น ช่วงฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ป่าจะผลิบานมีสีสันตระการตา ผู้คนจะพากันต้อนสัตว์เลี้ยง พวก แพะ แกะ และจามรีเพื่ออกมากินหญ้า

สระน้ำมังกรดำ

ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://abroad-tour.com
     สระน้ำมังกรดำ (Heillongtan, Black Dragon Pool) หรือเฮยหลงถัน อยู่ในสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ซึ่งเรียกว่า สวนยู้วฉวน (Yuquan) ตั้งอยู่ในตัวเมืองลี่เจียง ห่างจากตัวเมืองเก่าลี่เจียงไปทางทิศเหนือประมาณ 1 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 11,390 ตารางเมตร สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1737 สมัยราชวงศ์ชิง (แมนจู) สระน้ำมังกรดำมีจุดเด่นที่ความใสของน้ำที่ใสราวกับมรกต นอกจากนี้ ภายในสวนยังมีการสถาปัตยกรรมต่าง ๆ ที่ผสมผสานวัฒนธรรมของชาวฮั่น ทิเบต และน่าซี ไว้ด้วยกัน ในสวนแห่งนี้มี พิพิธภัณฑ์ศิลปะตงปา ด้านในของพิพิธภัณฑ์มีสิ่งที่แสดงถึงวัฒนธรรมตงปามากมาย เช่น รูปภาพต่างๆ และอักษรตงปาซึ่งมีลักษณะคล้ายกับอักษร Hieroglyphics ของอียิปต์
     สระมังกรดำ นี้มีที่มาจากตำนานเล่าขานกันว่าในอดีตมีคนพบเห็นมังกรดำปรากฏกายใต้น้ำบ้าง ผุดขึ้นมาจากสระน้ำบ้าง บรรยากาศภายในสวนนั้นเงียบสงบและงดงามด้วยบึงน้ำใสสะอาดสะท้อนภาพทิวทัศน์ของเทือกเขาหิมะมังกรหยกได้อย่างชัดเจน ว่ากันว่าทิวทัศน์ของเทือกเขาหิมะมังกรหยกที่มองจากบริเวณสระมังกรดำเป็นหนึ่งในทิวทัศน์ที่งดงามที่สุดของจีน

วันพุธที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ฮาร์บิน


เกาะพระอาทิตย์ (Sun Island)
        
          ไท่หยางต่าว (เกาะพระอาทิตย์) เกาะขนาดใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนเหนือของแม่น้ำซงฮัวเจียง มีเนื้อที่ประมาณ 3,800 เฮคเตอร์ เดิมเป็นสถานที่พักฟื้นของกรรมกรใช้แรงงานเมืองฮาร์บิ้น บริเวณทางเข้ามีป้ายหินเขียนว่า ไท่หยางเต่า เป็นสถานที่หนึ่งในการจัดเทศกาลแกะสลักหิมะน้ำแข็ง ไม่ว่าจะเป็นพระราชวัง กำแพงเมืองจีน หอฟ้าเทียนถาน และอื่นๆ อีกมากมาย และที่โดนเด่นที่สุดคงจะเป็น ลานน้ำแข็งอันกว้างใหญ่ของแม่น้ำซงฮัวเจียง ที่ดึงดูดสายตาทุกคนด้วยการโชว์การกระโดดน้ำและว่ายน้ำ ของเหล่าผู้สูงอายุที่อุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส นี่แหละ อิอิ ขนลุกแทนจริงๆ เลย
          ไท่หยางต่าว (เกาะพระอาทิตย์) สถานที่สวยงามร่มรื่น ชมความงามของเมืองชนบทที่เงียบสงบและมีมนต์เสน่ห์ นับเป็นสถานที่อาบแดดที่วิเศษสุด นอกจากนั้นยังมีเรือ, จักรยาน และรถม้าลากสไตล์ยุโรปไว้บริการให้เช่าอีกด้วย ส่วนในช่วงฤดูหนาวเมื่อเกาะแห่งนี้ถูกปกคลุมด้วยหิมะ ก็จะกลายเป็นสถานหย่อนใจในอุดมคติ ที่เหมาะอย่างยิ่งกับกิจกรรมหลากหลายชนิดบนลานน้ำแข็ง อาทิเช่น สเก็ตน้ำแข็ง , เลื่อนหิมะ , และ ชมนิทรรศการและศิลปกรรมแกะสลักหิมะประจำปีของฮาร์บิ้น เกาะสุริยันถือเป็นสถานที่จัดแสดงการแกะสลักหิมะน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดของ ประเทศจีนที่โด่งดังไปทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันนี้ท่านสามารถชมการแสดงการแกะสลักหิมะน้ำแข็งในอาคารของเกาะ สุริยันนี้ได้ ชมการแกะสลักน้ำแข็งกำแพงเมืองจีน สวนหิมะ และอีกหลากหลายแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของจีน ท่านสามารถถ่ายรูปสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ เหมือนกับท่านได้อยู่ในนิทรรศการแกะสลักหิมะน้ำแข็งอย่างแท้จริง อย่างที่เห็นในปัจจุบัน


โบสถ์เซ็นต์โซเฟีย



ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.abroad-tour.com
โบสถ์เซนต์โซเฟีย (St.Sophia Church)
         ซึ่งออกแบบและสร้างโดยสถาปนิกชาวรัสเซีย เมื่อก่อนเคยใช้เป็นสถานที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาที่สำคัญต่างๆ ของชาวรัสเซียแต่มาถูกทำลายตอนปฏิวัติวัฒนธรรม และได้มีการสร้างขึ้นมาใหม่อีกครั้งโดยพยายามรักษารูปแบบเดิมไว้ให้ได้มาก ที่สุด ซึ่งใช้เวลาถึง 9 ปี โดยเริ่มต้นสร้างในปี ค.ศ.1923 เสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ.1932 ถือได้ว่าเป็นโบสถ์ Greek Orthodox ที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกไกลออก ตัวโบสถ์สูง 53 เมตร มีโถงหลักที่มีหลังคารูปหัวหอมสร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมแบบไบแซนไทม์คล้าย กับสถาปัตยกรรมของจัตุรัสแดงในกรุงมอสโคว แต่ในปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนมาเป็นศูนย์ศิลปะและสถาปัตยกรรม แสดงภาพถ่ายขาวดำเกี่ยวกับประวัติศาสตร์เมืองฮาร์บิน
          เนื่องด้วยเวลาผ่านไปยาวนานและเคยถูกทำลายโดยน้ำมือมนุษย์ โบสถ์เซนท์โซเฟียจึงเคยตกอยู่ในภาวะที่เงียบเหงาและไร้บทบาทช่วงหนึ่งเช่น เดียวกันกับโบสถ์อื่นๆอีกหลายแห่งในเมืองฮาร์บิน เมื่อปี 1997 เทศบาลเมืองฮาร์ปินได้บูรณะซ่อมแซมโบสถ์เซนท์โซเฟียใหม่ ทำให้โบสถ์แห่งนี้กลายเป็นศาสนสถานสำคัญที่มีบทบาทขึ้นมาใหม่อีกครั้งและ สะท้อนสถาปัตยกรรมที่งดงามสมบูรณ์แห่งหนึ่งที่ผู้คนทั่วไปให้การยอมรับจน กระทั่งถึงปัจจุบัน
           โบสถ์เซนท์โซเฟียตั้งตระหง่านอยู่บนถนนจงยางซึ่งเป็นถนนย่านการค้าที่เจริญ ที่สุดของเมืองฮาร์บิน ดูโอ่อ่าสง่างามและมีความโดดเด่นสะดุดตาท่ามกลางย่านการค้าอันทันสมัย
            ปัจจุบัน ในฐานะพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งอันสะท้อนสถาปัตยกรรมที่งามสมบูรณ์ โบสถ์เซนท์โซเฟียได้กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญที่มีเอกลักษณ์เฉพาะแห่ง หนึ่งของเมืองฮาร์บิน นอกจากโบสถ์เซนท์โซเวียจะเป็นโบราณสถานที่แสดงผลงานโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรม แล้วยังเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจและแหล่งบันเทิงหลายรูปแบบของชาวเมืองฮา ร์บิน และนักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนและชาวต่างประเทศ

ถนนจงหยาง
       นับเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งซึ่งมีชื่อเสียงไม่แพ้โบสถ์เซนท์โซเฟียในเมืองอาร์บิน ถนนจงยางเป็นถนนที่ปูด้วยหินสีเขียวอ่อนทั้งสาย เป็นถนนการค้าที่ขึ้นชื่อของเมืองฮาร์บิน ตามสองข้างทางของถนนสายนี้มีสิ่งก่อสร้างสไตล์ต่างประเทศปรากฏอยู่เป็นจำนวน มาก ในแต่ละวันจะเห็นผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ไม่ขาดสาย
       ถนนจงยางเป็นถนนเก่าแก่ที่มีประวัตินับร้อยปีแล้ว เริ่มสร้างขึ้นเมื่อปี 1898 เดิมมีชื่อว่า “จงกว๋อต้าเจียน” ซึ่งแปลเป็นไทยว่า “ถนนใหญ่จีน”เมื่อปี 1925 ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น “จงยางต้าเจียน” ซึ่งแปลเป็นไทยว่า “ถนนใหญ่กลาง”ถนนสายนี้มีสไตล์การก่อสร้างที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ ตามสองข้างทางที่สำคัญมีอาคารบ้านเรือนสไตล์ยุโรปมากถึง ๗๑ แห่งซึ่งส่วนใหญ่สร่างขึ้นระหว่างปี 1903 ถึง ปี 1927 มีลักษณะพิเศษที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
        แม้ว่าความรุ่งโรจน์ในอดีตของถนนใหญ่จงยางได้ค่อยๆ จืดจางลงท่ามกลางแสงสี ทันสมัยอันละลานตา แต่ทว่า อาคารบ้านเรือนสถาปัตยกรรมยุโรปที่อยู่เคียงข้างห้างสรรพสินค้าอันทันสมัย มักจะทำให้ผู้คนหวนระลึกถึงความยิ่งใหญ่ในอดีตของถนนใหญ่จงยางแห่งนี้เสมอ และทุกวันนี้ ถนนการค้าที่มีชื่อ สายนี้ก็ยังคงเป็นสวรรค์แห่งการช็อปปิ้งของการมาทัวร์ฮาร์บิ้น ไม่เปลี่ยนแปลง

สนใจทัวร์ฮาร์บิ้น ดูรายละเอียดได้ที่
http://www.doubleenjoy.com/ทัวร์เที่ยวจีน/ทัวร์ปักกิ่ง-ฮาร์บิ้น.aspx

เฉินตู

เขาง้อไบ๊
ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.abroad-tour.com
เขาง้อไบ๊ หรือ เขาเอ๋อเหมยซัน
      เป็นภูเขาห่างจากเฉินตูราว 160 กิโลเมตร ชื่อของภูเขาแห่งนี้ได้มาจากรูปทรงของภูเขาที่มีลักษณะคล้ายคิ้ว ภูเขาแห่งนี้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทางพุทธศาสนาและ ศาสนาเต๋าในประเทศจีนโดยมีอารามต่างๆ 151 แห่ง แต่ส่วนใหญ่ทรุดโทรม ยังคงเหลือที่เที่ยวชมได้ 20 แห่ง เอ๋อเหมยซาน ยอดเขาสูงถึง 3,077 เมตร ช่วงฤดูหนาวจะมีหิมะปกคลุม ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดหัวจ้วง
      เขาเอ๋อเหมยซัน เรียกอีกชื่อว่า ต้ากวงหมิงซัน ‘เทือกเขาแห่งแสงสว่าง’ เป็นหนึ่งในสี่ขุนเขาใหญ่ที่เป็นรากฐานของพุทธศาสนาในจีน ( เอ๋อเหมยซันในมณฑลเสฉวน พู่ถัวซันในมณฑลเจ้อเจียง จิ่วหัวซันในมณฑลอันฮุย และอู่ไถซันในมณฑลซันซี ) ตั้งอยู่ทางตอนกลางส่วนใต้ของมณฑลเสฉวน บนพื้นที่คาบเกี่ยวระหว่างที่ราบสูงทิเบต กับที่ราบแอ่งกระทะเสฉวน มียอดเขาพระพุทธรูปหมื่นองค์ วั่นฝอ เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดโดยมีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 3,099 เมตร
       ตามหลักฐานทางโบราณคดี ชี้ให้เห็นว่า เมื่อกลางคริสต์ศตวรรษที่ 1 บรรพบุรุษของชาวจีนรังสรรค์และก่อร่างอารยธรรมแห่งพุทธศาสนา ซึ่งเผยแผ่มาจากดินแดนชมพูทวีปตาม 'เส้นทางสายแพรไหม' ขึ้นบนเขาเอ๋อเหมยซันเป็นครั้งแรก โดยการก่อสร้างวิหารผู่กวงเตี้ยนบนยอดเขาจินติ่ง นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งที่มีการปลูกสร้างโบราณสถาน รูปสลัก การประดิษฐ์สังฆภัณฑ์ งานศิลปะ ดนตรี ตลอดจนริเริ่มพีธีกรรมทางศาสนา ในเวลาต่อๆมา
        ศิลปะวัดพุทธที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ที่ปรากฏบนเขาเอ๋อเหมยซัน ได้รับการโจษขานให้เป็น ‘มงกุฎสุดยอดในปฐพี’ ที่ประดับอยู่ ณ ยอดเขาแห่งพุทธ วัดวาอารามที่อยู่บนเขารวมทั้งสิ้น 30 กว่าแห่ง ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและมีอาณาเขตกว้างขวางมีอยู่ถึง 10 กว่าแห่ง และยังประกอบด้วยกลุ่มโบราณสถานสมัยราชวงศ์หมิงและชิงที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 2,000 ปี พระพุทธรูปสลักสมัยถังและซ่ง เจดีย์หยก และกลุ่มสุสานที่หน้าผาสมัยราชวงศ์ฮั่น ยังอุดมด้วยโบราณวัตถุล้ำค่าอีกกว่า 7,000 กว่าชิ้น นอกจากความโด่งดังในฐานะที่เป็นยอดเขาแห่งตำนานของแผ่นดินพระภูผาเซียน และวัฒนธรรมประวัติศาสตร์อันเรืองรองแล้ว เสน่ห์งดงามของธรรมชาติอันตระการตา ยังทำให้ชื่อเสียงของเทือกเขาแห่งนี้ขจรขจายไปทั่วทั้งในและต่างประเทศ

พระพุทธรูปสลักเล่อซัน

ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.abroad-tour.com
 พระพุทธรูปสลักเล่อซัน ประติมากรรมระดับโลก
        พระพุทธรูปสลักเล่อซัน ตั้งอยู่บริเวณที่มีแม่น้ำไหลผ่านสามสาย คือ ต้าตู้เหอ ชิงอีเจียง และหมินเจียง ในเขตเมืองเล่อซัน อาณาบริเวณโดยรอบยังประกอบด้วย เขาหลิงหยุน สุสานในถ้ำริมผาม๋าเฮ่า เขาอูโหยว และบริเวณเขาอูโหยวที่เชื่อมต่อกับเขาหลิงหยุนซันและเขากุยเฉิงซัน ยังประกอบขึ้นเป็นทิวทัศน์อันน่าพิศวงรูปพระนอนขนาดใหญ่ซึ่งมีความยาวราว 1,300 เมตร รวมพื้นที่ราว 8 ตร.กม. ซึ่งทั้งหมดรวมอยู่ในเขตทิวทัศน์ของเทือกเขาเอ๋อเหมยซัน
         พระพุทธรูปสลักริมหน้าผาเล่อซัน สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิถังเสวียนจง แห่งราชวงศ์ถัง ต้นรัชสมัยไคหยวน ปี ค.ศ.713 โดยการเจาะสกัดหินบนเขาเป็นพระพุทธรูปประทับนั่งห้อยพระบาท หลังพิงเขา หันหน้าสู่แม่น้ำหมินเจียง มีความสูง 71 เมตร กว้าง 10 เมตร ซึ่งใหญ่กว่าพระพุทธรูปหินสลักที่ถ้ำผาหยุนกัง(ต้าถง)ในมณฑลซันซี(มรดกโลกทางวัฒนธรรม ปี 2001)ถึง 3 เท่า พระพุทธรูปเล่อซันสร้างขึ้นโดยจำลองแบบมาจากพระอาจารย์ไห่ทง แห่งวัดหลิงหยุน ใช้เวลาก่อสร้างนาน 90 ปี จนมาสำเร็จในปี ค.ศ.803 ในสมัยจักรพรรดิถังเต๋อจง แกะสลักขึ้นด้วยฝีมือช่างงามวิจิตร ลายเส้นที่พลิ้วไหวและสัดส่วนขององค์พระที่ได้สมดุล เต็มไปด้วยพลังที่แผ่ขยายออกไปกว้างใหญ่ไพศาล ล้วนสะท้อนถึงศิลปวัฒนธรรมอันเฟื่องฟูในยุคราชวงศ์ถัง
          สิ่งหนึ่งที่สามารถอนุรักษ์องค์พระเล่อซันให้คงความสง่างามมาจนถึงวันนี้ได้ คือ การเจาะทางระบายน้ำไหลด้านหลังกรรณทั้งสองและเศียรองค์พระ เพื่อกันการกัดเซาะของน้ำฝนไม่ให้ไหลบนตัวองค์พระและทำลายทัศนียภาพขององค์พระพุทธรูป ทำให้องค์พระไม่สึกกร่อนเสียหายมาก สามารถคงรูปลักษณ์ใกล้เคียงกับเมื่อพันกว่าปีก่อน

 ภูเขาหิมะซีหลิง
       ภูหิมะซีหลิงเป็นสถานที่ตากอากาศ ทิวทัศน์งามเด่นแห่งหนึ่งของประเทศจีน อยู่ที่เมืองต้าอี้ มณฑลเสฉวน ห่างจากนครเฉิงตู เมืองหลวงของมณฑล 95 กิโลเมตร ครอบคลุมเนื้อที่ 483 ตารางกิโลเมตร ยอดเขาต้าสวยถัง สูง 5,364 เมตร มีหิมะปกตลอดปี เป็นยอดภูที่สูงที่สุดในเฉิงตู
        ตั้งอยู่บนที่ราบยอดเขาบนระดับความสูงประมาณ 2,200 - 2,400 เมตรจากระดับน้ำทะเล ครอบคลุมพื้นที่ราว 8 ตารางกิโลเมตร อุณหภูมิในช่วงฤดูหนาวอยู่ระหว่าง ลบ 10 ถึง 10 องศาเซลเซียส บนลานสกีจะมีความหนาของหิมะประมาณ 60 - 100 เซนติเมตร นับเป็นสกีรีสอร์ทที่นักท่องเที่ยวนิยมเดินทางมาเล่นสกีมากที่สุด สถานที่แห่งนี้พรั่งพร้อมไปด้วยอุปกรณ์การเล่นสกีบนลานน้ำแข็งอย่างครบครัน ได้แก่ แผ่นเลื่อนหิมะ สกีหิมะ ม้าลากเลื่อนหิมะ บอลลูน สโนโมบิล เครื่องเล่นสไลด์ รวมทั้งกิจกรรมบนลานน้ำแข็งอีกมากมาย เนื่องจากอยู่ในความสูงระดับเดียวกันภูเขาแอลป์ คุณภาพหิมะและฤดูหิมะเช่นเดียวกับภูเขาแอลป์ ภูเขาซีหลิงจึงได้ชื่อว่า ภูแอลป์แห่งบูรพา


วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ฉงชิ่ง


ฉงชิ่ง เมืองที่ถูกขนามนามว่า “ฮ่องกงน้อย”




ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.manager.com

จุดชมเมืองสูงสุด ชื่อว่า “Eling Park”



ขอขอบคุณรูปภาพจาก travel.mthai.com





ขอขอบคุณรูปภาพจาก travel.mthai.com
ฉือชี่โข่วเป็นเมืองโบราณที่อยู่ท่ามกลางความเจริญของนครฉงชิ่ง เราสามารถเลือกซื้อของที่ระลึก หรือของฝากจากที่นี่ได้อย่างมากมาย

ศาลาประชาคม (ต้าหลี่ถัง)



ขอขอบคุณรูปภาพจาก travel.mthai.com
สร้างขึ้นตามความคิดริเริ่มของจอมพลเฮ่อหลงแห่งกองทัพคอมมิวนิสต์ ภายหลังการปฎิวัติสำเร็จ ในปี พ.ศ. 2494 เพื่อใช้เป็นที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรและเป็นโรงละครของประชาชน จุคนได้กว่า 4,000 คน สร้างโดยจำลองแบบมาจากหอเทียนถานที่เมืองหลวงปักกิ่ง แบ่งออกเป็นตึกกลาง ตึกใต้และตึกเหนือ ลักษณะพิเศษอยู่ที่ส่วนกลางมีโครงหลังคาเป็นเหล็กหนักถึง 286 ตัน

อนุสาวรีย์เจี่ยฟั่งเปย



ขอขอบคุณรูปภาพจาก travel.mthai.com
หากท่านได้มาทัวร์ฉงชิ่ง สถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ไม่ควรพลาดคือ ลานอนุสาวรีย์ใจกลางเมือง หรือ ถนนคนเดิน ซึ่งในปัจจุบันได้กลายเป็นศูนย์กลางการค้าที่ยิ่งใหญ่ แหล่งชอปปิ้งร้านแบรนด์เนมชื่อดัง


สนใจทัวร์ฉงชิ่ง ดูรายละเอียดได้ที่
http://www.doubleenjoy.com/ทัวร์เที่ยวจีน/ทัวร์ฉงชิ่ง-สุ้ยหนิง-ล่องเรือแม่น้ำแยงซีเกียง.aspx

วันพฤหัสบดีที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

แชงกรีล่า

ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.indochinaexplorer.com
  แชงกรีล่าเชื่อถือกันว่าแชงกรีล่านั้นมีแบบอย่างมาจากคำว่า แชมบาลา ซึ่งหมายถึงอาณาจักรที่ผู้คนอาศัยด้วยกันอย่างสุขสงบ เป็นอาณาจักรลึกลับตั้งอยู่ในบริเวณหุบเขาหิมาลัย ตามความความเชื่อถือที่ได้รับการสอนดำเนินต่อกันมาของพระภิกษุนิกายลามะว่า แชงกรีล่า ดินแดนที่แสนจะงดงาม ด้วยเทือกเขาสูงเสียดเมฆแนบชิดด้วยทุ่งหญ้าเขียวบริสุทธิ์ หน้าผาอันสูงใหญ่และสายธารสะอาดสดใส เปี่ยมด้วยความงดงามราวกับสวนสวรรค์แห่งพระเจ้า จึงเป็นเหตุให้รัฐบาลจีนได้สำรวจค้นหาดินแดนแห่งนี้ ตามคำพรรณนาในบทประพันธ์ของ เจมส์ ฮิลตัน ทั้งบริเวณที่ตั้ง สภาพภูมิประเทศ ขณบธรรมเนียมและประเพณี ของผู้คน ก่อนที่จะสรุปได้ว่า ดินแดนแชงกรีล่านั้น คือเขตรอยต่อระหว่าง ทิเบต ยูนนาน และเสฉวน ซึ่งได้แก่เมืองจงเตี้ยนนั่นเอง
ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.trekkingthai.com

วัดซงจ้านหลิน นอกจากจะเป็นศูนย์กลางทางศาสนาพุทธในแชงกรีล่าแล้ว ภายในของพระอารามหลวงยังมีทรัพย์สมบัติมากมายทั้ง คัมภร์ทิเบตโบราณ พระพุทธรูปทองคำ ตะเกียงทองคำ พระอารามแห่งนี้ยังมีอีกนามว่า วัดโปตาลาน้อย เพราะก่อสร้างตามอย่างมาจากพระราชวังโปตาลา แห่งกรุงลาซา ทิเบต การดำริให้ก่อสร้างวัดซงจ้านหลินพ.ศ. 2222 (ค.ศ. 1679) โดยสร้างสำเร็จสองปีต่อมา เพราะต้องการให้เป็นที่ศูนย์รวมจิตใจให้กับชาวทิเบตซึ่งพักอยู่ในแชงกรีล่า โดยมีทะไลลามะองค์ที่ 5 เป็นผู้ริเริ่ม ซึ่งตรงกันกับสมัยอยุธยาตอนต้นของไทย และรัชสมัยของ คังซีฮ่องเต้แห่งราชวงศ์ถัง

ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.grandtourchina.com
เมืองโบราณจงเตี้ยน เป็นเมืองโบราณที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,300 ปี และได้รับการบูรณะต่อเติมในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้บ้านเรือนในเเมืองโบราณแห่งแชงกรีล่านี้มีความแข็งแรงมากกว่าเดิม ภายในเมืองโบราณจงเตึ้ยน จะมีร้านขายสินค้าที่ระลึก เกสต์เฮาส์เล็ก ๆ มากมาย กลางเมืองโบราณมีลานเล็ก ๆ มีขนม และอาหารขาย มีที่นั่งชมเมืองที่ประดับประดาด้วยสีสันสดใสชองอารยธรรมธิเบต และชาวธิเบตในชุดพื้นเมือง ทำให้ผ่อนคลายอารมณ์กับบรรยากาศแชงกรีล่าได้เป็นอย่างดี
ด้านท้ายของเมือง จะมีลานกว้างขนาดใหญ่ ซึ่งทุก ๆ เย็นจะมีชาวทิเบตรวมตัวกันเต้นรำแบบโบราณ โดยจะจับกลุ่มกันเป็นวงกลม เต้นรำด้วยลีลาทะมัดทะแมง และพร้อมเพรียง ทั้งการหมุนตัว ตบมือ ดูน่าสนุกสนานเป็นอย่างยิ่ง  อกจากนี้แล้ว ลานนี้ยังเป็นทางขึ้นสู่ยอดเขาเล็ก ๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดต้าฝอ วัดแห่งนี้ที่มีกงล้อมนตร์ขนาดสูงใหญ่เท่าตึกสามชั้นทางด้านซ้ายมือของวัด ซึ่งเป็นที่สักการะของชาวธิเบตทั้งหลายว่า การหมุนกงล้อมนตร์ครบ 3 รอบ เป็นการสร้างบุญบารมีครั้งใหญ่ ในแต่ละวันจะมีชาวธิเบตและนักท่องเที่ยว ที่มาเยือนแชงกรีล่่า ต่างมาอธิษฐานและหมุนกงล้อมนตร์นี้มากมาย


หุบเขาเสือกระโจน
ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://abroad-tour.com
หุบเขาเสือกระโจน หรือ หูเที่ยวเฉีย (Hutiaoxia)
        หุบเขาเสือกระโจน หรือ หูเที่ยวเฉีย เป็นช่องหุบเขาเหนือแม่น้ำแยงซี ในมณฑลยูนนาน ประเทศจีนจีน ตั้งอยู่ห่างจากเมืองลี่เจียงไปทางเหนือ 60 กิโลเมตร ซึ่งตั้งอยู่ระหว่างทางแยกของเมืองลี่เจียงและเมืองจงเตี้ยน เป็นหุบเขาในช่วงที่แม่น้ำแยงซีไหลลงมาจากจินซาเจียง (แม่น้ำทรายทอง) น้ำบริเวณนี้ไหลเชี่ยวมาก ช่วงที่แคบที่สุดมีความกว้างเพียง 30 เมตร ยาว 15 กิโลเมตร ตำแหน่งที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่แม่น้ำไหลผ่านระหว่างภูเขาหิมะมังกรหยกที่สูง 5,596 เมตร และภูเขาหิมะฮาป๋าที่สูง 5,396 เมตร ซึ่งเป็นบริเวณที่น้ำไหลเชี่ยวและอยู่ใต้หน้าผาสูง 2,000 เมตร ตามตำนานเล่าว่า ในอดีตช่องแคบนี้มีเสือกระโดดข้ามไปยังฝั่งตรงข้ามได้ เนื่องจากกลางแม่น้ำบริเวณนี้มีหินที่เรียกว่า “หินเสือกระโดด” ซึ่งก้อนหินมีความสูงกว่า 13 เมตร จึงเป็นที่มาของชื่อ “ช่องแคบเสือกระโดด” ช่องเขาเสือกระโจนเป็นหนึ่งในหุบเขาเหนือแม่น้ำที่ลึกที่สุดในโลก ผู้อยู่อาศัยในบริเวณนี้มีจำนวนเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่เป็นชนพื้นเมืองชาวหน่าซี โดยจะอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเล็กๆบริเวณใกล้เคียง และหาเลี้ยงชีพโดยการเพาะปลูกและรับจ้างนำทางคนต่างถิ่น
โค้งแรกแม่น้ำแยงซี

ขอขอบคุณรูปภาพจาก http://abroad-tour.com
โค้งแรกแม่น้ำแยงซี (Changjiangdiyiwan)
         แม่น้ำแยงซีที่ไหลผ่านเมืองลี่เจียงช่วงนี้มีชื่อว่า จินซา หรือเรียกเต็มๆว่า จินซาเจียง แปลว่าแม่น้ำทรายทอง ณ จุดนี้เองที่แม่น้ำได้หักโค้งข้อศอกเป็นโค้งแรก 180 องศา ทำให้ไหลแยกจากแม่น้ำสาละวินและแม่น้ำโขง ไปทางทิศตะวันออก ก่อให้เกิดอารยธรรมจีนที่ยิ่งใหญ่เมื่อหลายพันปีมาแล้ว กล่าวกันว่าถ้าไม่มีโค้งนี้ก็อาจไม่มีอารยธรรมจีนอันเกรียงไกร อีกทั้งจุดนี้ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ขบวนทัพของทั้งขงเบ้ง กุบไลข่าน ใช้เป็นจุดข้ามแม่น้ำแยงซีไปทำศึก และเหมาเจ๋อตงเดินทัพทางไกลหนีการล้อมปราบของพวกก๊กมินตั๋งห่างจากเมืองเก่าลี่เจียง 53 กิโลเมตร เกิดจากแม่น้ำแยงซี (หรือที่คนจีนเรียกว่า แม่น้ำฉางเจียง) ที่ไหลลงมาจากที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต มากระทบกับภูเขาไห่หลอ ทำให้ทิศทางของแม่น้ำหักโค้งไปทางทิตะวันออกเฉียงเหนือ จนเกิดเป็นโค้งน้ำที่สวยงาม น่าหลงใหล นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปสัมผัสกับบรรยากาศและความงดงามของโค้งแรกแม่น้ำแยงซีเกียงจะต้องไม่ลืมถ่ายภาพกลับมาเพื่อเป็นที่ระลึก



ขอขอบคุณรูปภาพจาก  www.mekongstory.com
 ภูเขาหิมะเหมยลี่ เป็นเทือกเขาที่อยู่ทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือ ในมณฑลยูนนาน ประเทศจีน ใกล้แชงกรีล่า เทือกเขาเหมยลี่ขนาบไปด้วย แม่น้ำสองสาย อันได้แก่ นู่เจียง(แม่น้ำสาละวิน) และหลานซางเจียง(แม่น้ำโขง) ซึ่งเป็นแม่น้ำสายหลักของภูมิภาคอาเซียน ยอดเขาสูงสุดของภูเขาหิมะเหมยลี่คือ ยอดคาวาเกโบ (Kawagebo Peak) ซึ่งมีความสูงถึง 6,740 เมตร ( 22,112.86 ฟุต) รองลงมาได้แก่ ยอดเขาเหมียนจี้มู (6,509 เมตร) และเจียยื่อเหริน ยอดเขาทั้งสามแห่งนี้ เป็นยอดเขาที่ยังบริสุทธิ์และไม่เคยมีใครพิชิตถึงยอดเขาสูงแห่งเทือกเขาหิมะเหมยลี่ทั้ง 13 ยอดนั้น หมายถึงโอรสสวรรค์ ทั้ง 13 องค์ ซึ่งตัวเป็นแทนแห่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของชาวทิเบต โดยเฉพาะชาวทิเบตที่อาศัยอยู่ใน เสฉวน,ทิเบต,ชิงไห่ และกานซู จะให้ความเคารพสักการะกับภูเขาหิมะเหมยลี่เป็นอย่างมาก

ขอขอบคุณรูปภาพจาก  www.xn--12cli6hk2fta5g.com
  ทุ่งกุหลาบพันปี ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทาง ลี่เจียงถึงแชงกรีล่า ซึ่งจะเป็นทุ่งดอกไม้ขนาดใหญ่อยู่ตลอดเส้นทาง มักจะมีชาวทิเบตนำรั้วมากั้นเพื่อเก็บค่าเข้าชมท่านละ 5-10 หยวน
นอกจากนี้แล้ว นักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวแชงกรีล่า สามารถชมทุ่งกุหลาบพันปีได้ ณ บริเวณที่ทำการอุทยานหุบเขาพระจันทร์สีน้ำเงิน ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนกระเช้าขึ้นสู่ยอดเขาสือข่า บริเวณนั้นมีทุ่งกุหลาบพันปีขนาดใหญ่อยู่ด้วยเช่นกัน




คุนหมิง



ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.programholidays.com

ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.programholidays.com
ป่าหิน คุนหมิง (Stone forest china) มียอดหินและเสาหินใหญ่น้อยตั้งเรียงรายกระจัดกระจายอยู่ตามเนินเขา หุบเขา และในพื้นที่ราบ ป่าหินแห่งนี้จัดว่าเป็นป่าหินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ป่าหินแห่งนี้มีรูปลักษณ์ต่างๆ ของหินทั่วโลก อย่างเช่นที่ ป่าหินใหญ่ หินส่วนใหญ่มีรูปเหมือนเป็นดาบ เมื่อไปถึงอีกแห่งหนึ่ง หินจะมีรูปคล้ายเจดีย์ ไปถึงอีกที่หนึ่ง หินที่นั่นก็ดูเหมือนเห็ด มีทั้งสีดำและสีเหลือง มีผู้เชี่ยวชาญต่างชาติเคยบอกว่า เมื่อมาถึงป่าหินแล้ว รู้สึกเดี๋ยวก็อยู่คิวบา เดี๋ยวก็ถึงสเปน เหมือนกับว่า ป่าหินในทั่วโลกได้ย้ายมาอยู่ที่นี่วางแสดง ป่าหินคุนหมิงนับเป็นพิพิธภัณฑ์ของป่าหินทั่วโลก ซึ่งมีคุณค่ามาก"ภายในป่าหินมีทางแยกมากกว่า 400 สาย มีจุดท่องเที่ยวกว่า 200 จุด จึงได้สมญานามว่า วังวนใต้ทะเล " หินลักษณะสวยงามแปลกตาเหล่านี้ล้วนเป็นหินปูนที่แต่เดิมอยู่ใต้ผิวน้ำและเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของผิวโลกหินเหล่านี้จึงถูกดันให้โผล่ขึ้นเหนือผิว น้ำกลายเป็นภูมิทัศน์ที่งดงามโดดเด่นป่าหินแห่งนี้ประมาณกันว่า มีอายุราว 270 ล้านปี ป่าหินแห่งนี้แบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆ คือป่าหินน้อย (Minor stone forest) และป่าหินใหญ่ (Major stone forest) และอีกส่วนหนึ่งที่มีความงดงามไม่แพ้กันคือ
ส่วนของป่าหินนอก(Outer stone forest) ซึ่งอยู่บริเวณรอบนอกของป่าหินน้อยและป่าหินใหญ่ตามเส้นทางถนนรอบๆป่าหิน น้อยป่าหินใหญ่ที่เรียบไปตามป่าหิน นอกนั้นมีวิวทิวทัศน์เป็นทุ่งดอก Cosmos หลากสี ป่าหินน้อยก็เต็มไปด้วยก้อนหินรูปร่างแปลกๆจำนวนมาก หยุดยังลานโล่งที่ล้อมรอบไปด้วยหินก้อนมหึมาขึ้นตระหง่าน ซึ่งที่นี่มีก้อนหินสัญลักษณ์ของป่าหินคุนหมิง โดยหินก้อนนี้มีชื่อว่า "อาซือหม่า" เป็นภาษาอาข่าชนพื้นเมืองในแถบป่าหินความโดดเด่นของหินอาซือหม่านั้น คนจีนจินตนาการเป็นรูป ด้านข้างของสาวชาวอาข่าสวมหมวกแบกตะกร้าใส่ดอกไม้ไว้ที่ด้านหลังป่าหินใหญ่ตั้งอยู่ทางตอนกลางของ อุทยานฯ ที่นี่มากมายเต็มไปด้วยหินสารพัดรูปแบบให้เลือกชม นับเป็นเขตทัศนียภาพที่มีลักษณะเฉพาะตัวและมีประวัติศาสตร์ยาวนานที่สุดภายในบริเวณป่าหินใหญ่ มีจุดท่องเที่ยวหลายแห่งเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวทั้งหลาย

ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.programholidays.com
ประตูมังกร เขาซีซาน  นานประตูมังกร - คนจีนกล่าวไว้ว่ามาถึงคุนหมิงจะต้องไปลอดประตูมังกร เมื่อลอดแล้วฐานะจะเพิ่มขึ้นเป็นหนึ่งร้อยเท่า มีตำนานเล่ากันมาว่า ในสมัยก่อนแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดคือแม่น้ำเหลืองจะมีปลาหลีหือซึ่งเป็นปลาประจำชาติของจีนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก ครั้งหนึ่งเกิดน้ำท่วมทำให้ปลาไหลไปอยู่ตามแม่น้ำสายอื่น เมื่อปลาไปอยู่แม่น้ำอื่นปลาไม่ชินกับคุณภาพน้ำจึงมีความพยายามว่ายทวนน้ำเพื่อกลับไปอยู่ในแม่น้ำเหลืองของปลา ท่านเลยสั่งให้ไปสร้างประตูตรงแม่น้ำเหลือง ถ้าปลาตัวไหนกระโดดข้ามประตูได้ ท่านก็จะให้เป็นมังกร ถ้าปลาตัวไหนกระโดดข้ามไม่ได้ ก็ต้องไปอยู่ในแม่น้ำเหลือง ปลาก็เลยมีความพยายามไปกระโดดข้ามประตูเพื่อเป็นมังกร เลื่อนจากปลาเป็นมังกรถือว่าฐานะของปลาเพิ่มขึ้นเป็นร้อยเท่า ดังนั้นประตูมังกรเหมือนเป็นการสอนคนจีนมาโดยตลอด คือเมื่อเรามีความพยายามก็จะประสบความสำเร็จ ข้อมูล ประวัติ - ประตูมังกร เขาซีซาน ตั้งห่างจากตัวเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน 29 กิโลเมตร เป็นส่วนหนึ่งของวัดในลัทธิเต๋า สร้างในช่วง ค.ศ.1718-1843 ผ่านอุโมงค์หินที่สกัดไว้ตามไหล่เขา พร้อมชมศาลเจ้าและวัดจีนลัทธิเต๋า ซึ่งสร้างขึ้นด้วยแรงศรัทธาของชาวบ้านที่มีประวัติความเป็นมายาวนานนับ 1,000 ปี ชมความงดงามของ ทะเลสาบคุนหมิง เตือนฉือ จากมุมมองจากที่สูง มาลอดประตูมังกร หลงเหมิน ซึ่งสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง เชื่อกันว่าเป็น ประตูแห่งความสิริมงคล ซึ่งถ้าผู้ใดได้เดินลอดผ่านประตูแห่งนี้จะประสบแต่ความสำเร็จโชคดี ประตูแห่งนี้ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ริมหน้าผา ในการจะลอดประตูมังกรได้นั้นจะต้องพิชิตเขาซีซานให้ได้ก่อน โดยการเดินขึ้นบันไดประมาณ 300 กว่าขั้น บริเวณทางเดินขึ้นเขาซีซานนั้นจะมีจุดพักต่างๆ หลายจุด จุดแรกจะพบ "ศาลเจ้าหวางหลินกวง" ข้างๆ องศาลเจ้าจะมีรูปที่แกะสลักบนหินเป็น "เทพเจ้าแห่งโชคลาภ" คนจีนถือว่าเมื่อเอามือลูบที่ก้อนทองที่ท่านถือไว้ แล้วนำมาใส่กระเป๋าของเรา เหมือนกับขอเงินทองกับท่าน
ขอให้ร่ำรวย เดินไปเรื่อยๆก็จะพบที่พักจุดต่างๆ บริเวณจุดพักต่างนี้จะเห็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากมาย เช่น "บ่อน้ำวัวกตัญญู" "ศาลเจ้าแม่กวนอิมประทานบุตร" หรือ "เจ้าแม่กวนอิมส่งลูก" และจุดสุดท้าย คือ "ประตูมังกร" หรือศาลเจ้ามังกรหรือไข่มังกร เพื่ออธิฐานขอโชคลาภ มีสองวิธีในการขอพร คือ ใช้มือขวาไปจับแก้วมังกรแล้วอธิฐาน อีกวิธีหนึ่งคือใช้มือซ้ายจับแก้วมังกร มือขวาจับหางปลา ซึ่งก็คือปลาที่กระโดดข้ามประตูแล้วกลายเป็นมังกร ในการลูบหรือจับปลาคือขอให้เหลือกินเหลือใช้

ขอขอบคุณรูปภาพจาก ww.mcptravel.com

วัดหยวนทง เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดและเก่าแก่ที่สุดของมณฑลยูนนาน สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ.618 – ค.ศ.907) จนถึงปัจจุบัน ปัจจุบันวัดหยวนทงจะเป็นลักษณะของวัดในสมัยราชวงศ์ชิง
เนื่องจากวัดนี้ได้ถูกทำลายในสมัยราชวงศ์หมิง และได้รับการบูรณะโดยหูซาน ผู้เป็นคนพลิกประวัติศาสตร์จีน เป็นผู้ที่ทำให้ประเทศจีนเกิดราชวงศ์ชิง ภายในวัดที่ศักดิ์สิทธิ์และมีชื่อเสียงแห่งนี้
เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาถึง 3 นิกาย ได้แก่นิกายมหาญาณของพม่า นิกายหินญาณของไทย และนิกายลามะของธิเบตวัดหยวนทง เป็นวัดที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 1,200 ปี ตั้งอยู่ที่ถนนหยวนทงเจียง เป็นอารามทางพระพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในคุนหมิง ภายในวัดตกแต่งร่มรื่นสวยงาม กลางลานมีสระน้ำขนาดใหญ่มีสะพานข้ามไปสู่ศาลาแปดเหลี่ยมกลางสระ เมื่อเดินเข้าภายในวัดพระองค์แรกที่เราได้เจอคือ “พระสังฆจาย” หรือที่ชาวจีนเรียกว่า พระในอนาคต จะเป็นพระองค์แรกที่ยิ้มและต้อนรับผู้คนที่เข้ามาไหว้พระ เบื้องหลังของพระสังฆจายจะมีพระอยู่องค์หนึ่งที่เรียกว่า อุยโถว เขียนว่า อุ่ยทอ สำหรับพระองค์นี้เป็นพระที่มีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของวัด ดังนั้นเราจะเห็นพระอุ่ยทอหันหน้ามองไปทางวิหารตลอดเวลา นอกจากนี้สองข้างของพระอุ่ยทอจะมีเท้าจตุโลกกบาล ซึ่งคนจีนเวลาจะไหว้พระจะไหว้ให้ครบทั้งสี่ทิศ คือทิศเหนือเกี่ยวกับพ่อแม่ ทิศตะวันออกเกี่ยวกับครู ทิศใต้เกี่ยวกับครอบครัว
และทิศตะวันตกเกี่ยวกับเพื่อนฝูง มีสะพานข้ามไปสู่ศาลาแปดเหลี่ยมกลางสระตั้งอยู่กลางสระน้ำมรกต ซึ่งเป็นสระน้ำสีเขียว มีสัตว์น้ำทั้งปลา ทั้งเต่าอยู่มากมาย ศาลาแปดเหลี่ยมหลังนี้เป็นศาลา
ที่อู๋ซานกุ้ยสร้างในสมัยราชวงศ์ชิง ในศาลาประดิษฐาน “เจ้าแม่กวนอิมพันกร” และเจ้าแม่กวนอิมพม่า หรือเรียกว่า “เจ้าแม่กวนอิมหยก”ในวิหารส่วนหลัง ภายในวัดหยวนทงนี้ ยังเป็นวิหารที่นักท่องเที่ยวชาวไทยจำนวนมากที่เดินทางมาถึงนครคุนหมิง จะต้องแวะมาสักการะบูชาอยู่เสมอ เนื่องจากเป็นวิหารที่ประดิษฐานพระพุทธชินราชจำลอง ซึ่งเป็นพระพุทธรูปทองเหลือง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานให้อัญเชิญมาประดิษฐาน ณ วัดหยวนทงแห่งนี้


สนใจทัวร์คุนหมิง ตงชวน ดูรายละเอียดได้ที่
http://www.doubleenjoy.com/ทัวร์เที่ยวจีน/ทัวร์คุนหมิง.aspx

วันศุกร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ซูโจว

สวนโบราณเมืองซูโจว
เมืองแห่งสวนคลาสสิค

ขอบขอบคุณรูปจาก http://www.wlc2china.com

สวนคลาสสิคเมืองซูโจวมีประวัติศาสตร์มานาน 2,000 กว่าปี นับตั้งแต่ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 6 ในยุคชุนชิวชาวเมืองซูโจวได้รู้จักการสร้างและจัดสวนมาเนิ่นนานแล้ว มาในสมัยราชวงศ์หมิงแฟชั่นสร้างสวนของซูโจวยิ่งเป็นที่นิยมไปทั่ว ส่งผลให้ปลายสมัยราชวงศ์ชิงมีสวนทั้งในและนอกเมืองซูโจวรวมอยู่ถึง 170 กว่าสวนสวนหลากหลายในเมืองซูโจว แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ คือ สวนในที่พักอาศัย สวนในวัด และสวนชานเมือง โดยมีสวนในที่พักอาศัยเป็นพระเอก เพราะมีปริมาณมากที่สุด อีกทั้งมีกลิ่นอายของศิลปะที่ละเมียดละไมโดดเด่น แต่ทั้งหมดล้วนสร้างสีสันและบรรยากาศให้เมืองซูโจว เมืองแห่งแม่น้ำและลำคลอง หรือ ‘ดินแดนเวนิสแห่งตะวันออก’ นี้ ยังเป็นดินแดนแห่งสวนยุคราชวงศ์หมิงและชิง  หรือ ‘เมืองแห่งสวน’


ขอบขอบคุณรูปจาก http://www.wlc2china.com

สวนชางลั่งถิงหรือพลับพลาเกลียวคลื่นสีคราม
มีหินและเขาเป็นแนวคิดหลักในการจัดสวน


ช่วงสมัยราชวงศ์หมิงและชิง วัฒนธรรมแบบเศรษฐกิจระบบศักดินาในซูโจวเจริญถึงขีดสุด ศิลปะการจัดสวนก็พัฒนาถึงขั้นสุกงอม ก่อเกิดศิลปินด้านการจัดสวนขึ้นมากลุ่มหนึ่ง สร้างสรรค์ผลงานสวนจำลองธรรมชาติออกมาจำนวนมาก ฉุดให้กระแสนิยมการสร้างสวนถาโถมขึ้น กล่าวกันว่าในยุคที่รุ่งเรืองที่สุดของสวนซูโจว สวนในจวนเจ้านายชั้นสูง ขันทีและมหาเศรษฐีมีอยู่ถึง 280 กว่าแห่ง
ซึ่งปัจจุบันสวนที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ใกล้เคียงยุคสมัยโบราณ และมีชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ราว 10 กว่าแห่ง ได้แก่ สวนชางลั่งถิง (พลับพลาเกลียวคลื่นสีคราม)สร้างขึ้นในสมัยซ่ง สวนป่าซือจึหลิน หรือสวนป่าสิงโต สวนสมัยราชวงศ์หยวน หรือสวนสมัยหมิงอย่างสวนจัวเจิ้ง และสวนสมัยชิง เช่น สวนหลิว และสวนอี๋หยวน (สวนสราญรมย์)และชื่อเสียงความงามของสวนสี่ยุคนี้เอง ทำให้สวนซูโจวได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
สุดยอดสวนโบราณซูโจวที่เลื่องชื่อและเป็นมรดกโลก ได้แก่
สวนจัวเจิ้ง เป็นสวนที่สร้างในสมัยราชวงศ์หมิง รัชกาลเจิงเต๋อ ปีที่ 4 ตรงกับค.ศ.1509 มีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของสวนโบราณทั้งหมดในเมืองซูโจว ถึง 51,590 ตรม. โดดเด่นในด้านภูมิทัศน์ทางน้ำซึ่งกินพื้นที่ถึง 3 ใน 4 ของพื้นที่ทั้งหมด โชว์ศิลปะการไหลเวียนตามธรรมชาติ ที่เรียบง่ายแบบคลาสิคสมัยหมิง นอกจากนี้ ยังตบแต่งประดับประดาด้วยโคลงคู่และภาพวาดพู่กันจีน เนื่องจากมีศิลปินกวีแห่งเจียงหนันร่วมในการออกแบบ
สวนหลิว สร้างในสมัยราชวงศ์หมิงเช่นกัน แต่หลังสวนจัวเจิ้ง 80 กว่าปี ในรัชสมัยวั่นลี่ ปีที่ 21 (ค.ศ.1593) มีพื้นที่ 23,310 ตรม. ในอดีตมีชื่อว่า ‘สวนตะวันออก’ เป็นสวนศิลปะเจียงหนันขนานแท้ โดดเด่นด้านการจัดวางและช่องว่าง มีการโชว์ลูกเล่นของลักษณะความแตกต่างทางสถาปัตยกรรรมที่สร้างมุมมองระดับต่างๆได้อย่างงดงามลงตัว ที่มีทั้งโครงสร้างสถาปัตยกรรมแบบยาว-สั้น สูง-ต่ำ ใหญ่-เล็ก หรือที่นำสายตาด้วยเส้นโค้ง-ตรง หรือขยาย-ย่อสัดส่วนพื้นที่ ตลอดจนการเล่นแสงเงา มืด-สว่างตามมุมต่างๆของอาคาร เป็นต้น
ขอบขอบคุณรูปจาก http://www.wlc2china.com

สวนหวั่งซือ สร้างในสมัยซ่งใต บูรณะใหม่ในรัชสมัยเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิง
สวนหวั่งซือ พื้นที่ 5,400 ตรม. ขนาดเล็กเพียง 1 ใน 6 ของสวนจัวเจิ้ง เป็นสวนในที่พักอาศัยแบบคลาสิคของเจียงหนัน แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ด้านตะวันออกเป็นเรือนพักอาศัย ด้านตะวันตกเป็นสวน ใจกลางมีสระน้ำขนาด 440 ตรม. พร้อมด้วยระเบียงทางเดิน เก๋งจีน ศาลาริมน้ำอยู่ภายในสวน เฟอร์นิเจอร์และโคมไฟที่ประดับภายในอาคาร ก็เป็นศิลปะยุคราชวงศ์หมิง
สวนหวั่งซือสร้างขึ้นราวปีค.ศ.1174 โดยอดีตเสนาบดีปลดเกษียณสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ เริ่มจากความตั้งใจที่สร้าง ‘หอวั่นเจวี้ยนถัง’ ขึ้นเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับแขก โดยด้านข้างหอมีแปลงปลูกดอกไม้ชื่อ ‘อี๋ว์อิ่น’  แปลงดอกไม้นี้ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็น ‘สวนหวั่งซือ’ ซึ่งมาจากชื่อซอยที่มีเสียงใกล้เคียงว่า ‘หวังซือ’  ในสมัยราชวงศ์ชิง ได้กลายมาเป็นที่แปรพระราชฐาน เพื่อการพักผ่อนตากอากาศ และใช้เวลาส่วนพระองค์ของจักรพรรดิคังซี
สวนชางลั่งถิง หรือสวนพลับพลาเกลียวคลื่น เป็นสวนเก่าแก่ที่สุดในจำนวนสวนโบราณซูโจวทั้งหมด ชื่อของ 'ชางลั่งถิง' หรือพลับพลาเกลียวคลื่น ปรากฏขึ้นครั้งแรกในศิลาจารึกแผนที่เมืองผิงเจียง(ซูโจว ค.ศ.1229) สมัยราชวงศ์ซ่ง และยังมีบันทึกการเอ่ยชื่อ ‘พลับพลาชางลั่งถิง’ โดยกวีในสมัยเดียวกันด้วย
องค์ประกอบสำคัญของสวนแห่งนี้ คือ หิน ต้นไผ่ เนินเขา และสวนหย่อม กำแพงด้านตะวันตกของอาคารสถาปัตยกรรมหลักในสวน ตบแต่งด้วยภาพวาดบุคคลชั้นสูงในประวัติศาสตร์ซูโจวกว่า 500 ชิ้น ซึ่งเป็นเสน่ห์ของสวนแห่งนี้
สวนซือจึหลิน หรือสวนป่าสิงโต เด่นด้านภูเขาจำลองและหินรูปสิงโต ที่มาของชื่อสวน

ขอบขอบคุณรูปจาก http://www.wlc2china.com

สวนป่าซือจึหลิน มีพื้นที่ 1,152 ตรม. เป็นสวนสมัยศตวรรษที่ 14 ส่วนที่โดดเด่นที่สุดของสวนแห่งนี้คือ ภูเขาหินจำลองที่สร้างขึ้นโดยมนุษย์ และสิ่งปลูกสร้างรอบๆทะเลสาบ รวมถึงน้ำตกและหน้าผาจำลองริมทะเลสาบ ยังมีการสร้างเขาวงกต ที่ประกอบด้วยถ้ำ ทางเดิน และปลูกต้นไซปรัสและสนโบราณ
สิ่งที่เป็นสัญลักษณ์และที่มาของชื่อสวนแห่งนี้ คือ หินรูปร่างพิสดารที่มีการแกะสลักเป็นรูปสิงโตในท่าทางต่างๆ ที่บางคนมองว่าเป็นท่วงท่าสิงโตเต้นระบำ หรือกำลังกระโจนผาดโผน เป็นต้น สวนป่าซือจึหลินเป็นความภาคภูมิใจของเมืองซูโจว ในฐานะที่จำลองทัศนียภาพของป่าและเขา โดยมีการจัดวางองค์ประกอบต่างๆในพื้นที่จำกัดตามสไตล์ ‘เซน’

แก่นแท้ของ ‘ศิลปะ’ ใน ‘สวน’
สวนในเมืองซูโจว มักเป็นสวนพื้นที่เล็กๆ แต่อาศัยการเล่นเทคนิคที่ไม่มีกฎเกณฑ์ตายตัว และไม่เคร่งครัดในกรอบ ออกแบบโดยยึดหลักความงามแบบคลาสสิคของจีนที่มักแสดงออกมาในรูปของภาพทิวทัศน์ ภูเขา สายน้ำ สัตว์ปีกและดอกไม้ นิยมสร้างเป็นภูเขาจำลอง สวนป่า และจัดวางศาลา หอสูง ขุดสระน้ำ สร้างทางเดินทางแยก และสะพานเล็กๆ เป็นต้น
ทั้งนี้ยังแฝงไว้ด้วยแง่คิดทางศิลปะจากกวีนิพนธ์ในสมัยถังและซ่ง และสอดแทรกปรัชญาเต๋า พุทธ และแนวคิดของขงจื๊อ ซึ่งสอดคล้องกับคติการดำเนินชีวิตของชาวจีน ด้วยบรรยากาศการตกแต่งและแนวคิดที่แฝงเร้นในสวนทำให้สวนโบราณซูโจว ได้ชื่อว่าเป็นผลงานศิลปะที่รวมไว้ซึ่งคุณค่าหลายแขนง ทั้งในแง่ศิลปะ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และธรรมชาติ
สวนโบราณในเมืองซูโจว เปรียบเสมือน‘ป่าในเมือง’ คือ โลกจำลองของสภาพที่เป็นจริงในธรรมชาติ ดังคำเปรียบเปรยของสวนโบราณในซูโจวที่ว่า ‘น้ำหนึ่งกระบวยแทนสายน้ำ หินหนึ่งกำปั้นแทนขุนเขา’ แม้แต่สภาพอากาศในสวนก็ผันแปรไปตามฤดูกาล ยังความรื่นรมย์ให้แก่ชาวเมือง ราวกับได้ออกท่องป่าชมความงามตามธรรมชาติจริงๆโดยที่ไม่ต้องออกไปแสวงหาความสุขที่ไหนให้ไกลบ้าน
ลักษณะพิเศษของสวนโบราณในซูโจวอีกประการหนึ่ง คือ การจำลองภาพความงามในจินตนาการของกวีและศิลปินภาพวาดพู่กันจีน มาไว้ในหินทุกก้อน น้ำในสระ หรือแม้แต่แมกไม้ที่นำมาปลูกอยู่ในสวน แนวคิดการจัดสวนนี้ได้เริ่มมาพร้อมกับกำเนิดของสวนซูโจว
สืบเนื่องจากพื้นฐานการศึกษาของผู้สร้างสวนในสมัยโบราณ ซึ่งเป็นผู้รู้ในเรื่องกวีหรือวรรณกรรมและเสพงานศิลปะเป็นชีวิต ตกผลึกเป็นแนวคิดที่ว่า ‘สวน คือ กวีที่ไร้สรรพสำเนียง และคือ ภาพวาดที่มีมิติ’ และเพื่อตอบสนองต่อทัศนคติดังกล่าว นักสร้างสวนจะมีมโนภาพเกี่ยวกับสวนไว้โดยให้ ‘ภาพวาด’ เป็นมูลฐาน และมี ‘บทกวี’ เป็นหัวข้อหลัก


ขอบขอบคุณรูปจาก http://www.wlc2china.com

สวนหลิว สวนสมัยราชวงศ์หมิง โชว์แนวคิดเรื่องภูเขาและน้ำ ภาพขวา-วิหารหนันมู่เตี้ยนในสวนหลิว
และเพื่อเป็นการแสดงออกซึ่งแนวคิดหลักของสวน ในแง่ความต้องการ อุดมคติ ตลอดจนอารมณ์ความรู้สึกนานาประการ สวนจำนวนมากจึงมีแบบฉบับการตกแต่ง เช่น การแขวนป้ายคำขวัญไว้เหนือประตูทางเข้า หรือการแขวนโคลงคู่ที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับเค้าโครงความคิดหลักของสวนนั้นๆ ซึ่งเป็นลีลาการแสดงออกของผู้พิสมัยด้านโคลงฉันท์กาพย์กลอนในสมัยโบราณ

อีกด้านหนึ่งก็ให้ความสนใจในการจัดวางต้นไม้ สระน้ำ การสร้างทางเดิน ตลอดจนศาลาริมน้ำและภูเขาจำลองอย่างกลมกลืน งดงามละมุนละไม แม้ว่าสวนส่วนใหญ่ในซูโจวจะมีขนาดเล็ก หากทว่า แพรวพราวไปด้วยเทคนิคเชิงศิลปะ ด้วยการตกแต่งในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่สื่อความหมายลึกซึ้ง อาทิ สวนที่มีแนวคิดยก ‘น้ำ’ ขึ้นเป็นตัวเอก เช่น สวนจัวเจิ้ง จะมีศูนย์กลางซึ่งเป็นพื้นที่น้ำมากถึง 1 ใน 3 ส่วน พันธุ์ไม้ที่ตกแต่งรอบสระเน้นความเขียวชะอุ่มกลมกลืนรับกับสระน้ำกว้าง สิ่งก่อสร้างโดยรอบสูงต่ำลดลั่นชัดเจน อีกฝั่งหนึ่งใช้ลูกเล่นระเบียงวนเป็นคลื่นขึ้นลงแลดูนุ่มนวลสบายตา
เมื่อใดที่ได้เตรดเตร่อยู่ตามทางเดินวกวนในสวน นอกจากจะเพลิดเพลินกับความงามในซอกมุมต่างๆแล้ว ทุกส่วนของการจัดแต่งยังเต็มไปด้วยปริศนาให้ครุ่นคิด ตีความและค้นพบ เฉกเช่น เดินเข้าสู่ภาพวาดในอีกมิติหนึ่ง หรือกำลังดื่มด่ำกับความแหลมคมและยอกย้อนของกวีนิพนธ์ เป็นความหลักแหลมและชั้นเชิงของศิลปินผู้สร้างงานสวน ในการโน้มนำผู้ชมสวนให้เข้าสู่มนต์ขลังของธรรมชาติ
นี่จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ ‘สวนโบราณ’ เอกลักษณ์ของเมืองซูโจว สามารถเข้าถึงความหมายของมรดกโลกทางวัฒนธรรมได้อย่างแจ่มชัดที่สุด
ขอบขอบคุณรูปจาก http://www.wlc2china.com

วันศุกร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ซีอาน

เลาะรั้วกำแพงเมืองโบราณนับพันปีที่ซีอาน



ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.teenee.com

 ซีอาน เป็นราชธานีของ 13 ราชวงศ์ในสมัยโบราณของจีน หากเดินตามถนนและซอกซอยของเมืองซีอาน โดยไม่ระมัดระวัง ก็อาจสะดุดอิฐสมัยราชวงศ์ฉินหรือกระเบื้องสมัยราชวงศ์ฮั่นจนล้มลงได้
นักท่องเที่ยวทั้งชาวจีนและชาวต่างประเทศจากทั่วทุกสารทิศเดินทางมาทัวร์ซีอาน ก็ล้วนมาเพื่อชมกองทัพหุ่นทหารและม้า เจดีย์ต้าเอี้ยนถ่า สระน้ำอุ่นหวาชิงฉือ ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์อันยาวนานของเมืองซีอาน แต่ก็มีคนจำนวนมาก ที่มาเมืองซีอานเพื่อรับประทานอาหารพื้นเมืองสุดอร่อยหลากหลายชนิด นั่งยองๆ ข้างกำแพงเมืองโบราณนับพันปีของเมืองซีอาน ดื่มด่ำไปกับรสชาติของบรรยากาศเมืองซีอานช้าๆ




ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.teenee.com
อาหารซีอาน เน้นรสเค็ม หวาน เปรี้ยว เผ็ด และความสด อาหารว่างที่ผู้คนชอบมีเพ่าหมัว เนื้อแพะและเนื้อวัวตุ๋นใส่เส้น แฮมเบอร์เกอร์จีนใส้เนื้อหมูซอสเค็ม อาหารต้มงาดำ เส้นหมี่น้ำรสเผ็ด ซาลาเปาใส้น้ำซุป แป้งแข็งกัวคุย หมี่เหอเล่อข้าวเฉียวเมี่ยน เพ่าหมัวต้มหัวน้ำเต้า ร้านอาหารชื่อดังมีเพ่าหมัวเนื้อแพะและเนื้อวัวตุ๋นของร้านเหล่าซุนเจีย ต้มหัวน้ำเต้าร้านชุนฟาเซิง ซุปเครื่องในแพะร้านหม่าเจีย เนื้อนุ่มอร่อย ในน้ำซุปเข้มข้น ยามเข้าปากเคี้ยวได้รสชาติที่นุ่มและสดอร่อย ต้องกินชามใหญ่ เน้นกินร้อนๆ เต็มชาม
ถนนอาหารพื้นเมืองชื่อดังของเมืองซีอาน ตั้งอยู่ด้านหลังหอระฆังที่มี ประวัติกว่า 600 ปี ร้านอาหารชนิดต่างๆ เปิดขึ้นเต็มตามถนนสายนี้ แต่ละร้านก็มีอาหารสูตรเด็ดของตน ถ้าชอบผักดองเปรี้ยว ต้องไม่พลาดข้าวผัดผักกาดดองร้านหงหง สั่งข้าวผัดผักกาดดองหมูเส้น เผ็ดนิดเปรี้ยวหน่อย สั่งซุปบ๊วยเปรี้ยวอีกแก้ว ชวนกินแก้ร้อนใน




ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.teenee.com
ถนนหุยหมินเจีย หรือ ถนนชาวมุสลิม ที่พลาดไม่ได้ที่สุดก็คือซาลาเปาใส่น้ำซุปเจี่ยซาน ซึ่งมีเนื้อซาลาเปาบางเหมือนกระดาษ ไส้นุ่มเจือน้ำมีซุป ด้วยเครื่องเทศกลิ่นหอมจัด ได้รับการยกย่องว่าเป็นสิ่งเลิศรส 3 อย่าง และเป็นซาลาเปาสุดยอดในเมืองโบราณ ถนนหุยหมินเจียตั้งแต่ตอนเช้าถึงตอนกลางคืน เต็มไปด้วยนักกินจากพื้นที่ต่างๆ ที่พูดภาษาจีนสำเนียงแตกต่างกันไปโดยตลอดทาง เมืองซีอาน ก็ถูกลิ้มรสและสัมผัสด้วยกลิ่นที่หอมกรุ่นของอาหารมาเช่นนี้นานนับพันปีมาแล้ว



ขอขอบคุณรูปภาพจาก www.teenee.com
หมัว คือชิ้นแป้งที่ผ่านการทุบจนเนื้อแน่นแล้วนำไปอบจนสุก เมื่อนำไปแช่ (ก็เรียกว่าเพ่า) ในน้ำซุปเข้มข้นที่ต้มเป็นเวลานาน เนื้อแป้งจะดูดรสชาติที่กลมกล่อมของน้ำซุป จึงกลายเป็นอาหารที่ขึ้นชื่อในความเอร็ดอร่อยที่ไม่เหมือนใคร

สนใจทัวร์ซีอาน ดูรายละเอียดได้ที่
http://www.doubleenjoy.com/ทัวร์เที่ยวจีน/ทัวร์ซีอาน-ลั่วหยาง-CN40.aspx

วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เซี่ยงไฮ้

หาดเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ (หาดไว่ทัน)


ขอบขอบคุณรูปภาพจาก www.ablthai.com
           
             หาดไว่ทัน ตั้งอยู่ฝั่งเมืองเก่าผู่ซี่นั้น มีพื้นที่ที่เรียกกันว่า "The Bund" เป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงที่สุดของ เซี่ยงไฮ้นับตั้งแต่อดีตกาล จนถึงปัจจุบัน ตั้งอยู่บนถนนจงซาน ริมแม่น้ำที่มีความยาว 1 กิโลเมตรครึ่ง เลาะไปตามริมแม่น้ำหวงผู่ เป็นย่านอาคารสไตล์ยุโรปงดงามที่มีความเก่าแก่กว่าร้อยปีตั้งเรียงรายอยู่บนถนนริมแม่น้ำหวงผู่ อาคารเหล่านี้เป็นอาคารที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยที่เซี่ยงไฮ้ยังเป็นเขตเช่าของประเทศต่างๆ ปัจจุบันก็ใช้เป็นโรงแรม เป็นที่ทำการธนาคารแห่งชาติหลายๆ แห่ง รวมไปถึงยังเป็นที่ทำการกงสุลไทย และธนาคารกรุงเทพ สาขาเซี่ยงไฮ้
            หาดไว่ทัน เป็นสถานที่ในการถ่ายทอดเรื่องราวของเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ ที่เกิดขึ้นในยุคที่เมืองเซี่ยงไฮ้เต็มไปด้วยเจ้าพ่อหลายแก๊งค์แย่ง ชิงอำนาจกันให้วุ่นวายไปหมด หาดไว่ทันจึงมีชื่อที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยว่า "หาดเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้"

ถนนนานจิงลู่

ขอบขอบคุณรูปภาพจาก www.guru-tour.com
       ถนนหนานจิงนั้นเริ่มแรกนั้นจีนได้จัดสรรให้เป็นที่ดินในสัมปทานของประเทศอังกฤษ และในเวลาต่อมา ก็มีอีกหลายประเทศเข้ามาทำการค้าในที่ดินแห่งนี้ และถนนหนานจิงก็กลายมาเป็นแหล่งซื้อขายสินค้าจากต่างชาติที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเซี่ยงไฮ้
       ถนนหนานจิง ของเมืองเซี่ยงไฮ้นี้เป็นแหล่งชอบปิ้งที่สำคัญสำหรับทัวร์เซี่ยงไฮ้ อีกแห่งหนึ่ง ถนนสายนี้ จะกว้างไม่มีรถวิ่ง นอกจากรถรางภายใน เป็นย่านช็อปปิ้งเก่าแก่ที่สุดของเซี่ยงไฮ้ ซื้อขายกันคึกคักตั้งแต่ทศวรรษ 1920 มีความยาวกว่า 6 กิโลเมตรตั้งอยู่ฝั่งผู่ซี กินพื้นที่ยาวตั้งแต่ฝั่งตะวันตกของ “เดอะ บันด์” ไปจนถึง “พีเพิลส์ สแควร์” เป็นแหล่งช็อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมจากทั่วโลก ช่วงเทศกาลสำคัญๆอย่างปีใหม่, ตรุษจีน และคริสต์มาส ชาวเซี่ยงไฮ้และนักท่องเที่ยวจะมารวมตัวกันฉลองความสุขสันต์บนถนนสายนี้ พื้นที่ด้านตะวันออกของนานจิงอนุรักษ์เป็นถนนคนเดิน ถือเป็นอีกย่านที่น่าเดินน่าช็อปที่สุดในเซี่ยงไฮ้ เพราะมีร้านจีนๆซุกซ่อนอยู่สลับกับห้างหรูตลอดสองข้างทาง
           ถนนสายนี้ถือได้ว่าเป็นถนนอเนกประสงค์ของชาวเซี่ยงไฮ้ เนื่องจากในตอนเช้าๆ จะเป็นบริเวณที่ผู้คน โดยเฉพาะ ผู้สูงอายุออกกำลังกายทั้ง รำไทเก๊ก รำกระบี่ รำพัด พอตกสายหน่อยก็จะกลายเป็นแหล่งช้อบปิ้ง เพราะเป็นที่ตั้งของ บรรดาห้างสรรพสินค้ามากมาย และต้องถือว่าเป็นย่านสวรรค์ของบรรดาสาวกแบรนด์เนมทั้งหลาย นอกจากนี้ ยังเป็นถนนที่ทางการให้การดูแลเรื่องการขายสินค้ากับนักท่องเที่ยวเป็นพิเศษถึงขนาดมีระบบการให้ใบเหลืองใบแดงสำหรับร้านค้าที่มีพฤติกรรมฉ้อโกงนักท่องเที่ยว
            ถนนหนานจิง หรือ ถนนคนเดิน ถนนสายนี้ จะมีช่วงหนึ่งของถนนหนานจิงตงลู่ หรือนานจิงตะวันออก ที่ จะปิดถนนเป็นระยะทาง 1,033 เมตร ให้คนเดินเท่านั้น ละแวกนี้นอกจากจะเต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ยังมีงานศิลปะชั้นดีให้คุณได้เลือกเสพอีกด้วย โดยทางตอนใต้ของถนนนานจิงเป็นที่ตั้งของหอศิลปะช่างไห่เหม่ยซู่ก่วน และจัตุรัสประชาชนหรือ พีเพิลสแควร์ ซึ่งเป็นศูนย์ กลางทางสังคมและสถานที่พักผ่อนนอกบ้านของชาวเซี่ยงไฮ้

หอไข่มุก
ขอบขอบคุณรูปภาพจาก www.meetaweetour.co.th
" หอไข่มุก 东方明珠塔 "       หอไข่มุกเป็นหอส่งสัญญาณวิทยุโทรทัศน์สูง 468 เมตร ลักษณะเป็นไข่มุก 11 ลูก และ เสา 3 เสา ด้านบนเป็นรูปไข่มุก 3 เม็ด 3 ขนาดเรียงกันในแนวตั้ง ที่นี่เป็นที่ทำการของสถานีโทรทัศน์ 9 แห่ง และสถานีวิทยุ 10 แห่ง ภายในหอกลมทำเป็นภัตตาคาร โรงแรมหรูขนาด 25 ห้อง และร้านค้า ด้านใต้ตรงฐานของหอจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์เมืองเซี่ยงไฮ้เมืองจำลองโลกอนาคต และเมืองวิทยาศาสตร์แฟนตาซี  ช่องกลางของหอไข่มุกตะวันออกเป็นเสาปล่องกลวง ใช้แขวนลิฟท์ความเร็วสูง 6 ตัว ที่มีความเร็ว 7 เมตร/วินาที เพื่อขึ้นไปที่จุดชมวิว ในระดับความสูง 267 เมตร ส่วนในเวลากลางคืนนั้น หอกลมจะเปิดไฟที่สามารถเปลี่ยนสีไปได้เรื่อยๆ บนไข่้มุกเม็ดที่สองจะสามารถมองลงมาข้างล่างได้เนื่องจากทำพื่นเป็นกระจก
       หอไข่มุกตะวันออก เป็นหอคอยที่สูงที่สุดเป็นอันดับ 4 ของโลก  รองจากหอกว่างโจวทีวีแอนด์ไซท์ซีอิง ในกว่างโจวความสูง 610 เมตร หอคอยซีเอ็น เมืองโตรอนโต ของแคนาดา ที่สูง 554.3 เมตร และหอออสตันคิโน กรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย ที่มีความสูง 540.1 เมตร ในบริเวณใกล้เคียงกันยังเป็นที่ตั้งของอาคารจินเหมาทาวเวอร์ (สูง 421 ม.) และอาคารเซี่ยงไฮ้เวิลด์ไฟแนนเชียลเซ็นเตอร์ (สูง 492 ม.) ปัจจุบันนับได้ว่าเป็นสัญลักษณ์อันโดดเด่นของเมืองเซี่ยงไฮ้ ที่นอกจากจะใช้ในด้านการสื่อสารแล้ว ยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองอีกด้วย

รถไฟฟ้าแม่เหล็ก
ขอบขอบคุณรูปภาพจาก www.meetaweetour.co.th
" รถไฟฟ้าแม่เหล็ก "   แม็กเลฟ Maglev รถไฟฟ้าแม่เหล็กความเร็วสูง ทำงานด้วยระบบแม่เหล็กไฟฟ้า ชนิดไม่มีล้อและไม่มีราง (Magnetic Levitation) หรือแมกเลฟ (Maglev) เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดของโลก มีใช้วิ่งแล้วในประเทศจีน และที่อยู่ในระยะการพัฒนาต่อเนื่องในประเทศเยอรมนี และอยู่ในระยะการทดสอบในประเทศญี่ปุ่น 
ข้อดีของระบบแม็กเลฟ (Maglev) ระยะทางจากจุดเริ่มต้นถึงความเร็ว ๒๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง จะเงียบ ถ้าความเร็วสูงกว่านั้น จะมีเสียงเกิดจากรถเสียดสีกับอากาศรอบข้าง"เซี่ยงไฮ้แม็กเลฟ" สร้างสถิติเป็น "รถไฟฟ้าแม่เหล็กความเร็วสูง"(แม็กเลฟ) ขบวนแรกของโลกที่วิ่งให้บริการเชิงพาณิชย์ด้วยความเร็วสูงสุดและถือว่าเป็นรถไฟที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก

สนใจทัวร์เซี่ยงไฮ้ ดูรายละเอียดได้ที่
http://www.doubleenjoy.com/ทัวร์เที่ยวจีน/ทัวร์เซี่ยงไฮ้-หังโจว-อู๋ซี-ซูโจว-ถงหลี่.aspx